คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 1337/2565 เพี้ยซ คอร์ปอเรชั่น โจทก์
กรมทรัพย์สินทางปัญญา จำเลย
บริษัทไทยซินอุตสาหกรรม จำกัด จำเลยร่วม
พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 6, 63
โจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการผลิตและขายสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้า อันเป็น
คําเดียวกับเครื่องหมายการค้าของจําเลยร่วมที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว สิทธิที่จะใช้เครื่องหมาย
และสิทธินําเครื่องหมายการค้านี้ไปขอจดทะเบียนย่อมถูกกระทบหรือเสื่อมเสียไปเนื่องจาก
การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ของจําเลยร่วม ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในอันที่จะยื่นคําร้องต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเพื่อขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจําเลยร่วมได้ ส่วนการที่โจทก์ไม่อุทธรณ์คําสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าที่มีคําสั่งปฏิเสธคําขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโจทก์ ก็มีผลเพียงให้ถือว่าโจทก์ผู้ขอจดทะเบียนละทิ้ง
คําขอจดทะเบียนตามมาตรา ๑๙ เท่านั้น หามีผลต่อความเป็นผู้มีส่วนได้เสียในอันที่จะร้องขอให้
เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจําเลยร่วมตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๖๓ ไม่
จําเลยร่วมได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ตั้งแต่วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๒ จนถึงวันที่โจทก์ยื่นคําร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ จําเลยร่วมไม่ได้ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวเลยเป็นเวลาเกือบสิบปี นับเป็นระยะเวลาที่นานมาก หากจําเลยร่วมมีเจตนาโดยสุจริตที่จะใช้เครื่องหมายการค้าที่ได้รับการจดทะเบียนไว้ดังกล่าว จําเลยร่วมควรจะได้ใช้เครื่องหมายการค้านั้นกับสินค้าที่จําหน่าย หรืออย่างน้อยก็ต้องมีการโฆษณาสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นมาบ้าง แต่จําเลยร่วมหาได้ดําเนินการแต่อย่างใดไม่ พฤติการณ์ของจําเลยร่วมเป็นการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้โดยไม่ได้ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าว เป็นการกีดกันมิให้บุคคลอื่นใช้เครื่องหมายการค้านั้น จึงรับฟังได้ว่าในขณะที่ขอจดทะเบียนจําเลยร่วมมิได้ตั้งใจ
โดยสุจริตที่จะใช้เครื่องหมายการค้า สําหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ และตามความจริง
ก็ไม่เคยมีการใช้เครื่องหมายการค้านั้นโดยสุจริตสําหรับสินค้าดังกล่าวเลย และในระหว่างสามปีก่อนที่จะมีการยื่นคําร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจําเลยร่วม จําเลยร่วมมิได้มีการใช้เครื่องหมายการค้านั้นโดยสุจริตสําหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ จึงมีเหตุที่จะเพิกถอนคําสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ที่ ๘๓/๒๕๖๒ และเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ตามคําขอเลขที่ ๗๒๗๗๐๔ ทะเบียนเลขที่ ค ๓๑๔๒๕๑ ของจําเลยร่วม
_____________________________
โจทก์ฟ้อง ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอ
เลขที่ ๗๒๗๗๐๔ ทะเบียนเลขที่ ค ๓๑๔๒๕๑ ขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ ๘๓/๒๕๖๒ หากจำเลยเพิกเฉยขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทไทยซินอุตสาหกรรม จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม เนื่องจากเป็นผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๓) ศาลทรัพย์สิน
ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางอนุญาต
จำเลยร่วมให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ ๘๓/๒๕๖๒ และเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
ตามคำขอเลขที่ ๗๒๗๗๐๔ ทะเบียนเลขที่ ค ๓๑๔๒๕๑ ของจำเลยร่วม ค่าฤชาธรรมเนียม
ให้เป็นพับ
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์รับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล จดทะเบียนจัดตั้งในประเทศญี่ปุ่น โจทก์จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้ตามข้อมูลการจดทะเบียน
ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลกและหนังสือรับรองการจดทะเบียน สำนักงานสิทธิบัตรญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๘ โจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ตามคำขอ
เลขที่ ๑๐๐๒๗๔๖ สำหรับสินค้าจำพวก ๓ รายการสินค้าน้ำหอม โลชั่นทาผิว และน้ำนมที่ใช้เป็นเครื่องสำอาง แต่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งไม่รับจดทะเบียน เพราะเห็นว่าเหมือนหรือคล้าย
กับเครื่องหมายการค้า ของจำเลยร่วมที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว ตามคำขอเลขที่ ๗๒๗๗๐๔ ทะเบียนเลขที่ ค ๓๑๔๒๕๑ โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยร่วมต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า โดยอ้างเหตุว่าจำเลยร่วมมิได้ใช้เครื่องหมายการค้าที่ได้จดทะเบียนไว้โดยสุจริตสำหรับสินค้าที่ขอจดทะเบียนไว้ และตามความเป็นจริงจำเลยร่วมก็ไม่เคยใช้เครื่องหมายการค้านั้นสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ และในระหว่างสามปีก่อนโจทก์ยื่นคำร้องขอเพิกถอนเครื่องหมายการค้านี้ จำเลยร่วมก็มิได้ใช้เครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ตามคำสั่งคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ ๘๓/๒๕๖๒ คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าแจ้งให้โจทก์ทราบตามหนังสือ ลงวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๓
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยร่วมประการแรกว่า โจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสีย
ที่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยร่วมและมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการผลิตและขายสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้า
อันเป็นคำเดียวกับเครื่องหมายการค้าของจำเลยร่วมที่ได้จดทะเบียนไว้แล้ว สิทธิที่จะใช้เครื่องหมายการค้า
และสิทธินำเครื่องหมายการค้านี้ไปขอจดทะเบียนย่อมถูกกระทบหรือเสื่อมเสียไปเนื่องจาก
การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ของจำเลยร่วม จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะยื่น
คำร้องต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าเพื่อขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๖๓ ได้ ส่วนที่จำเลยร่วมอุทธรณ์ว่า
เมื่อโจทก์ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า และนายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งปฏิเสธการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตามคำขอ เนื่องจากเป็นเครื่องหมายการค้าที่เหมือนหรือคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่จดทะเบียนไว้แล้ว โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ถือว่าโจทก์ละทิ้งคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า และคำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้าเป็นที่สุด โจทก์ย่อมไม่อยู่ในฐานะ
เป็นผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา ๖๓ นั้น เห็นว่า การที่โจทก์ไม่อุทธรณ์คำสั่งของนายทะเบียนเครื่องหมายการค้า ก็มีผลเพียงให้ถือว่าโจทก์ผู้ขอจดทะเบียนละทิ้งคำขอจดทะเบียนตามมาตรา ๑๙ มีผลต่อ
คำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านั้นเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับและไม่มีผลต่อความเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
ในอันที่จะร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยร่วมแต่อย่างใด และที่จำเลยร่วมอุทธรณ์อ้างว่า ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า naturie ดีกว่าจำเลยร่วมนั้น เป็นเรื่องที่โจทก์ต้องร้องขอต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ไม่ใช่ยื่นคำร้องขอต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า และต้องร้องขอภายในกำหนดเวลา ๕ ปี นับแต่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้ามีคำสั่งให้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยร่วมตามมาตรา ๖๗ แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้ดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวภายในกำหนด โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยร่วม นั้น ก็เห็นว่า คดีนี้โจทก์กล่าวอ้างว่าโจทก์มีสิทธิในเครื่องหมายการค้าคำว่า naturie ดีกว่าจำเลยร่วม เพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยร่วมด้วยเหตุตามมาตรา ๖๓ ไม่ได้กล่าวอ้างเพื่อใช้เหตุที่มีสิทธิดีกว่าเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยร่วม จึงไม่มีกรณีต้องพิจารณาว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ ตามที่จำเลยร่วมอุทธรณ์หรือไม่ แต่อย่างใด เมื่อวินิจฉัยแล้วว่า โจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
ของจำเลยร่วมตามมาตรา ๖๓ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ อุทธรณ์ของจำเลยร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยร่วมประการที่สองมีว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้
ภายในกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๖๕ วรรคสอง หรือไม่ เห็นว่า มาตรา ๖๕ วรรคสอง กำหนดให้ผู้ร้องขอเพิกถอน เจ้าของเครื่องหมายการค้า หรือผู้ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า เมื่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้ามีคำสั่ง
ให้ยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยร่วมตามคำสั่งที่ ๘๓/๒๕๖๒ ลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ แล้ว ได้มีหนังสือที่ ๐๗๐๒/๑๓๖๙ ลงวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๓
แจ้งคำสั่งนั้นให้โจทก์ทราบ แสดงว่าโจทก์ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งอย่างเร็วที่สุดในวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๓ หรือหลังจากนั้น เมื่อนับระยะเวลาจากวันดังกล่าวถึงวันที่โจทก์นำคดีมาฟ้องศาลเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ จึงเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าต่อศาลภายในกำหนดเวลา ๙๐ วัน
นับแต่โจทก์ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่ง ถือว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ภายในกำหนดเวลาตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๖๕ วรรคสอง แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยร่วมข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยและจำเลยร่วมในประการต่อไปมีว่า มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ ๘๓/๒๕๖๒ และเพิกถอนการจดทะเบียน
เครื่องหมายการค้า ตามคำขอเลขที่ ๗๒๗๗๐๔ ทะเบียนเลขที่ ค ๓๑๔๒๕๑ ของจำเลยร่วมหรือไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ จำเลย และจำเลยร่วมได้ความสอดคล้องกันว่า จำเลยร่วม
ไม่เคยจำหน่ายสินค้าสบู่เหลวที่ใช้เครื่องหมายการค้า ที่ได้จดทะเบียนไว้ ส่วนที่จำเลยร่วม
นำสืบว่าจำเลยร่วมมีวัตถุประสงค์ในการผลิตสบู่เหลวออร์แกนิกเพื่อจำหน่าย แต่สูตรและส่วนประกอบ
ของผลิตภัณฑ์สบู่เหลวยังไม่ลงตัว ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาวิจัยทดลองผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้สูตร
ที่เหมาะสมที่สุด ตลอดจนต้องรอวัดผลการตอบสนองของตลาดและลูกค้าก่อน ประกอบกับยังติดขัดปัญหาขั้นตอนการเตรียมการและการวางแผนการผลิตอยู่ ก็ได้ความว่าจำเลยร่วมขอจดแจ้งผลิตเครื่องสำอางปี ๒๕๖๓ ภายหลังจากที่โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
ของจำเลยร่วม ทั้งนางสาวสุนันทา ยังเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า พยานยังไม่ทราบแผนการว่าจำเลยร่วมมีแผนที่จะจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์สบู่เหลวเมื่อใดและพยานไม่ได้ไปจดแจ้งผลิตภัณฑ์
ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา พยานไม่เคยเห็นใบรับจดแจ้งรับจ้างการผลิตเครื่องสำอาง พยานหลักฐานดังกล่าวจึงเจือสมกับพยานโจทก์ว่าจำเลยร่วมไม่ได้ผลิตและจำหน่ายสบู่เหลว
ภายใต้เครื่องหมายการค้าของตน ส่วนที่จำเลยร่วมได้อ้างเอกสารหมาย ลร.๘ เป็นพยานหลักฐานแสดงว่าจำเลยร่วมผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้า แต่เอกสารดังกล่าวเป็นเพียงภาพถ่ายเท่านั้นไม่ใช่ตัวสินค้าจริง เอกสารดังกล่าวจึงง่ายที่จะจัดทำขึ้นเมื่อใดก็ได้ และจำเลยร่วมก็ไม่ได้นำสืบว่า จำเลยร่วมได้จำหน่ายสินค้าสบู่ก้อนที่ใช้เครื่องหมายการค้า
นั้นที่ใด เมื่อใด อย่างไร หรือได้มีการโฆษณาสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวทางใด เมื่อใด ให้เป็นที่ปรากฏชัดเจนว่า
จำเลยร่วมได้ใช้เครื่องหมายการค้านั้นจริงก่อนที่โจทก์จะมีคำร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยร่วม แม้นางสาวสุนันทาจะเบิกความอ้างว่า จำเลยร่วมมีวัตถุประสงค์
ในการผลิตสบู่เหลว แต่อยู่ในระหว่างขั้นตอนการเตรียมการและวางแผนการผลิตก็ตาม เพราะพยานเองก็ได้เบิกความว่า ไม่ทราบแผนการว่าจำเลยร่วมมีแผนที่จะจำหน่ายสินค้าผลิตภัณฑ์สบู่เหลวเมื่อใด
และจำเลยร่วมก็ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบแสดงให้เห็นถึงรายละเอียดของขั้นตอนการเตรียมการและการวางแผนของจำเลยร่วมว่าจะผลิตสบู่เหลวเมื่อใด อย่างไร ข้ออ้างและการนำสืบของจำเลยร่วมดังกล่าวจึงเป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟัง เชื่อว่าขณะโจทก์ยื่นคำร้อง
ขอเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ของจำเลยร่วม จำเลยร่วมไม่เคยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวแต่อย่างใด และนับแต่จำเลยร่วมได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๒ จนถึงวันที่โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ที่จำเลยร่วมไม่ได้ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวเลยเป็นเวลาเกือบสิบปี นับเป็นระยะเวลาที่นานมาก
หากจำเลยร่วมมีเจตนาโดยสุจริตที่จะใช้เครื่องหมายการค้าที่ได้รับการจดทะเบียนไว้ จำเลยร่วม
ควรจะได้ใช้เครื่องหมายการค้านั้นกับสินค้าที่จำหน่ายหรืออย่างน้อยก็ต้องมีการโฆษณาสินค้า
ที่ใช้เครื่องหมายการค้านั้นมาบ้าง แต่จำเลยร่วมหาได้ดำเนินการแต่อย่างใดไม่ พยานหลักฐานของโจทก์
มีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยและจำเลยร่วม พฤติการณ์ของจำเลยร่วมเป็นการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้โดยไม่ได้ใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวเป็นการกีดกันมิให้บุคคลอื่นใช้เครื่องหมายการค้านั้น จึงรับฟังได้ว่าในขณะที่ขอจดทะเบียน จำเลยร่วมมิได้ตั้งใจโดยสุจริตที่จะใช้เครื่องหมายการค้า
สำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ และตามความจริงก็ไม่เคยมีการใช้เครื่องหมายการค้านั้นโดยสุจริตสำหรับสินค้าดังกล่าวเลย และในระหว่างสามปีก่อนที่จะมีการยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ามิได้มีการใช้เครื่องหมายการค้านั้นโดยสุจริตสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้
จึงมีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ ๘๓/๒๕๖๒ และเพิกถอน
การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ตามคำขอเลขที่ ๗๒๗๗๐๔ ทะเบียนเลขที่ ค ๓๑๔๒๕๑
ของจำเลยร่วม อุทธรณ์ของจำเลยและจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น ส่วนอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยและจำเลยร่วม
เป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อย ไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.
(สุวิทย์ รัตนสุคนธ์ – ธารทิพย์ จงจักรพันธ์ - วิวัฒน์ วงศ์กิตติรักษ์)
รุ่งระวี โสขุมา - ย่อ
นิภา ชัยเจริญ - ตรวจ