คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 54/2565
นางสาวพิมพรรณ ศรีสวัสดิ์ โจทก์
เครดิต สวิส เอจี จำเลย
ป.พ.พ. มาตรา ๕, 306, ๓๖๘
พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 มาตรา ๕, ๑๓
ลักษณะของนิติสัมพันธ์ตามสัญญาเครดิตพิพาท ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติของคู่สัญญา ถิ่นแห่งการทำสัญญา รวมถึงการปฏิบัติตามสัญญา ล้วนมีองค์ประกอบของต่างประเทศ (Foreign Elements) ทำให้คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่มีลักษณะเป็นคดีระหว่างประเทศ โดยสาระสำคัญของสัญญานั้น คู่สัญญามีเจตนารมณ์ตีความสัญญาโดยใช้กฎหมายต่างประเทศ ดังนั้น ในการวินิจฉัยสาระสำคัญของสัญญาเครดิตพิพาท จึงต้องเป็นไปตามกฎหมายที่คู่สัญญาตกลงกันคือกฎหมายมลรัฐนิวยอร์ก ตามมาตรา ๑๓ แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 เมื่อคดีนี้มีปัญหาว่า การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาจะมีผลสมบูรณ์และบังคับใช้ได้หรือไม่ อย่างไร กรณีจึงต้องอาศัยกฎหมายมลรัฐนิวยอร์กในการตีความและบังคับใช้ ข้ออ้างตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าให้นำบทบัญญัติเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 306 วรรคหนึ่ง มาใช้ในการตีความเรื่องของการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเครดิต จึงไม่อาจรับฟังได้
โจทก์อุทธรณ์อ้างว่าหลักสุจริตเป็นบทควบคุมการแสดงเจตนาตามกฎหมายไทย อันเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕ และมาตรา 368 ส่วนกฎหมายสหรัฐอเมริกามีบทบัญญัติเรื่องธุรกิจการค้า (The Uniform Commercial Code หรือ UCC) โดยได้บัญญัติหลักสุจริตไว้ แต่กฎหมายดังกล่าวไม่ได้มีหลักเกณฑ์เรื่องความสุจริตของ
ผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องมีความรู้และความเชี่ยวชาญแตกต่างจากบุคคลทั่วไป การที่กฎหมายดังกล่าวไม่ได้กำหนดเรื่องนี้ไว้แบบเดียวกับกฎหมายไทยจึงใช้บังคับไม่ได้ ตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 ดังนั้น จึงต้องนำกฎหมายไทยมาปรับใช้กับสัญญาเครดิตเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น เห็นว่า การกล่าวอ้างเรื่องหลักความไม่สุจริตนั้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 368 บัญญัติว่า สัญญานั้นท่านให้ตีความตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย สำหรับสัญญาเครดิตพิพาทในส่วนของการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น คู่สัญญาตกลงให้เป็นดุลพินิจของจำเลยแต่เพียงผู้เดียวที่จะให้ความยินยอมหรือไม่ก็ได้ อันเป็นความประสงค์ที่ชัดแจ้งของสัญญา ประกอบกับตามปกติประเพณีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินตามที่ได้ความจากกรรมการผู้จัดการจำเลยและพยานผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายว่า จำเลยในฐานะสถาบันการเงินย่อมอยู่ภายใต้บังคับของกฎระเบียบและถูกกำกับดูแลโดยหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริการวมถึงหน่วยงานของมลรัฐนิวยอร์ก โดยกฎหมายกำหนดให้จำเลยต้องปฏิบัติตามข้อห้ามและข้อจำกัดหลายประการและอยู่ภายใต้แนวปฏิบัติของสถาบันการเงินที่เน้นความสำคัญของการให้ดุลพินิจแก่จำเลยเพียงแต่ผู้เดียวที่จะให้หรือไม่ให้ความยินยอมแก่การโอนก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีเหตุผลในทางประเพณีทางการค้าและอยู่บนพื้นฐานของเจตนารมณ์ของคู่สัญญา แม้จำเลยจะได้รับแจ้งเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องแล้วนิ่งเฉยไม่ติดต่อกลับหรือไม่ดำเนินการใด ๆ นั้น ย่อมถือว่าจำเลยไม่ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องแล้วนั่นเอง ซึ่งตามกฎหมายมลรัฐนิวยอร์กได้อธิบายแนวทางและหลักการพิจารณาเรื่องความยินยอมในลักษณะนี้ไว้โดยละเอียดและสอดคล้องกับหลักการทั่วไปของการตีความสัญญาบนหลักความศักดิ์สิทธิแห่งการแสดงเจตนาและหลักเสรีภาพแห่งสัญญาเป็นหลัก เมื่อสัญญาเครดิตพิพาทเป็นสัญญาทางพาณิชย์ที่ใช้สำหรับการประกอบธุรกิจการค้าอันมีธรรมเนียมปฏิบัติและจารีตประเพณีทางการค้าที่เกี่ยวกับสถาบันการเงินซึ่งมีลักษณะพิเศษ มีผลและผูกพันผลประโยชน์ระหว่างคู่สัญญาโดยเฉพาะและมิได้เกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ ประกอบกับข้อจำกัดดังกล่าวมิได้ทำให้เกิดความได้เปรียบ เสียเปรียบ หรือไม่เป็นธรรมแก่ผู้ใด การนิ่งเฉยไม่ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องของจำเลย จึงไม่ได้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และไม่ขัดแย้งกับกฎหมายไทยอันจะทำให้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแห่งประเทศไทยตามมาตรา ๕ แห่ง พ.ร.บ.
ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 แต่อย่างใด
_____________________________
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ตามสัดส่วนร้อยละ 27.33 ของเงินกู้ในกลุ่ม B Loan (แผน ข.) ที่จำเลยได้รับ ตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ 154,779,392.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน 132,732,252.67 บาท นับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระเงินคืนโจทก์ตามสิทธิเรียกร้องที่จำเลยจะได้รับจาก IFC สำหรับเงินกู้ในกลุ่ม B Loan (แผน ข.) ในอัตราร้อยละ 27.33 ของเงินซึ่งจะได้รับจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
กรมบังคับคดีในอนาคต
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียม
ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่อุทธรณ์โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2538 บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Financial Corporation หรือ IFC ) ทำสัญญาให้บริษัทเงินทุน เอกธนกิจ จำกัด (มหาชน) กู้ยืม โดยแบ่งเงินกู้ออกเป็น ๒ กลุ่ม คือ 1. A Loan (แผน ก.) 30,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ และ 2. B Loan (แผน ข.) 150,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ รวม 1๘0,๐๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ ตามสัญญากู้ยืมเงิน (Investment Agreement) ในส่วนหนี้เงินกู้ในกลุ่ม B Loan (แผน ข.) IFC
ทำสัญญาร่วมให้เงินกู้ (Participation Agreement) กับ Finance One Funding Corporation
หรือ FOFC โดยให้ FOFC จัดหาเงินกู้มาให้ด้วยการออกตราสารการค้า (Commercial Paper) จำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป และทำสัญญาเครดิต ค้ำประกันตราสารการค้าดังกล่าวโดยกลุ่มสถาบันการเงินรวม ๒๒ แห่ง ซึ่งมีจำเลยทำหน้าที่เป็นธนาคารตัวแทน (Agent Bank) และเป็นธนาคารผู้ออกเลตเตอร์ออฟเครดิต (Issuing Bank) ทั้งนี้ ธนาคาร Westdeutsche Landesbank Gironzentrale Bank สาขานิวยอร์ก หรือธนาคาร West LB, New York เป็น 1 ใน สถาบันการเงิน ๒๒ แห่ง ที่เข้าร่วมลงนามสนับสนุนวงเงินตามสัญญาเครดิตโดยการค้ำประกันเลตเตอร์ออฟเครดิตของจำเลย ต่อมาปี 2540 บริษัทเงินทุน เอกธนกิจ จำกัด (มหาชน) ผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมต่อ IFC จำเลยจึงชำระเงินให้แก่ผู้ลงทุนที่ถือตราสารการค้าตามที่มีการเรียกเก็บโดยกลุ่มสถาบันการเงินในกลุ่ม B Loan (แผน ข.) ซึ่งได้ชำระเงินให้แก่จำเลยตามสัดส่วน ต่อมาปี ๒๕๔๔ ธนาคาร Westdeutsche Landesbank Gironzentrale
สาขาสิงคโปร์ หรือธนาคาร West LB, Singapore โอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาดังกล่าวที่เกี่ยวกับ FOFC ให้แก่บริษัทสแตนเทิน จำกัด หรือ Stanton ตามสัญญา Agreement Relation to debt of Finance One Funding Corporation โดยให้บริษัทสแตนเทิน จำกัด เลือกว่าจะรับโอนสิทธิเรียกร้องเองโดยตรงหรือให้ผู้แทน (Nominated Purchaser) หรือผู้ที่บริษัทสแตนเทิน จำกัด เสนอให้เป็นผู้รับสิทธิเรียกร้องแทน ต่อมาวันที่ 1 เมษายน 2545 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดบริษัทเงินทุน เอกธนกิจ จำกัด (มหาชน) และตั้งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2545 IFC ในฐานะเจ้าหนี้ผู้ให้กู้ยืมของบริษัทเงินทุน เอกธนกิจ จำกัด (มหาชน) ยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นลำดับที่ 193 ต่อมาในปี 2549 บริษัทสแตนเทิน จำกัด
แจ้งให้ธนาคาร West LB, Singapore โอนสิทธิเรียกร้องให้แก่ธนาคารสแตนดาร์ด เมอร์ชานท์ (เอเชีย) จำกัด (Standard Merchant Bank (Asia) Limited) หรือธนาคาร SMB ตามสัญญา Deed of Assignment (Finance One Funding Corporation) และในปี 2557 ธนาคาร SMB ได้โอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวให้แก่โจทก์ ตามสัญญา Assignment of Option Assets Agreement และได้มีการบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องไปยัง FOFC ตามหนังสือ Notice of Assignment ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม 2559 ศาลฎีกาพิพากษาให้ IFC ได้รับชำระหนี้เป็นเงิน 4,844,463,562 บาท ตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๙๓๑/๒๕๕๘ ต่อมา IFC ได้รับเงินคืนจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จากการรวบรวมทรัพย์สินของบริษัทเงินทุน เอกธนกิจ จำกัด (มหาชน) ตามคำขอรับชำระหนี้เงินกู้ตามสำเนาคำแถลงส่งพยานเอกสารของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แล้วได้ส่งให้แก่จำเลยเพื่อชำระคืนแก่สถาบันการเงินในกลุ่มสัญญาเครดิตต่อไป
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์ในข้อแรกว่า การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญา Deed of Assignment (Finance One Funding Corporation) ต้องนำกฎหมายใดมาปรับใช้ เห็นว่า ลักษณะของนิติสัมพันธ์ตามสัญญาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติของคู่สัญญา ถิ่นแห่งการทำสัญญา รวมถึง
การปฏิบัติตามสัญญา ล้วนมีองค์ประกอบของต่างประเทศ (Foreign Elements) ทำให้คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่มีลักษณะเป็นคดีระหว่างประเทศ โดยสาระสำคัญของสัญญานั้น คู่สัญญามีเจตนารมณ์ตีความสัญญาโดยใช้กฎหมายต่างประเทศ ตามที่ปรากฏในสัญญาเครดิต ข้อ 9.11 ที่ระบุว่า Governing Law. This Agreement (including matters relating to the Maximum Permissible Rate) shall be construed in accordance with and governed by the law of the state of New York (without giving effect to its choice of law principles). ซึ่งแปลความหมายว่า คู่สัญญาตกลงกันให้ใช้กฎหมายมลรัฐนิวยอร์กในการตีความและใช้แก่สัญญา ไม่ให้นำหลักการเลือกกฎหมายมาใช้บังคับ ดังนั้น ในการวินิจฉัยสาระสำคัญของสัญญาเครดิต จึงต้องเป็นไปตามกฎหมายที่คู่สัญญาตกลงกันคือกฎหมายมลรัฐนิวยอร์ก ซึ่งก็เป็นไปตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย
พ.ศ. 2481 ที่บัญญัติว่า “ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสำหรับสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ หรือผล
แห่งสัญญานั้น ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี” เมื่อคดีนี้มีปัญหาว่า การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาจะมีผลสมบูรณ์และบังคับใช้ได้หรือไม่ อย่างไร กรณีจึงต้องอาศัยกฎหมายมลรัฐนิวยอร์กในการตีความและบังคับใช้ ข้ออ้างตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าให้นำบทบัญญัติเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 วรรคหนึ่ง มาใช้ในการตีความเรื่องของการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาเครดิต จึงไม่อาจรับฟังได้ อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์เรื่องการรับฟังกฎหมายมลรัฐนิวยอร์กว่า พยานผู้เชี่ยวชาญของจำเลยไม่ได้อ้างตัวบทกฎหมาย เพียงแต่อ้างคำพิพากษาของศาล ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามข้อเท็จจริงที่ต่างกัน
กรณีเป็นการไม่นำสืบกฎหมายต่างประเทศให้เป็นที่พอใจแก่ศาล จึงต้องใช้กฎหมายไทยในการวินิจฉัยนั้น พิจารณาแล้ว เห็นว่า จำเลยนำสืบข้อเท็จจริงนี้โดยมีนายฌาคส์ เซมเมลแมน (Mr. Jacques Semmelman) พยานผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับคู่ความในคดีนี้ พยานเป็นทนายความขึ้นทะเบียนประกอบวิชาชีพกฎหมายในมลรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา มาตั้งแต่ปี 2527 โดยพยานจบการศึกษาคณะนิติศาสตร์ เกียรตินิยม จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard Law School) ปี 2527 เคยทำงานตำแหน่งผู้ช่วยอัยการสหรัฐประจำเขตตะวันออกนครนิวยอร์ก และทำงานในสำนักงานกฎหมายนานาชาติ Curtis, Mallet-Prevost, Colt & Mosle LLP มาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า ๓๔ ปี มีหน้าที่ให้คำปรึกษาคดีความและประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายมลรัฐนิวยอร์กเรื่องสัญญาต่าง ๆ พยานมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และตีความข้อสัญญาตามหลักกฎหมายมลรัฐนิวยอร์ก
สำหรับการนำสืบพยานผู้เชี่ยวชาญนั้น พยานทำบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นว่า
จากการตรวจสอบและวิเคราะห์เอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในคดี ได้แก่ สัญญาพิพาททั้งหมด หนังสือ
แจ้งการโอนสิทธิเรียกร้อง อีเมลติดต่อเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้อง เป็นต้น และค้นคว้าอ้างอิงแนว
การตีความตามคำพิพากษาของศาลมลรัฐนิวยอร์กที่เกี่ยวข้องตามคำพิพากษา ทั้งนี้ พยานได้ตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ที่ส่งบันทึกคำถามค้านในระหว่างการสืบพยานตามกระบวนพิจารณาคดีด้วย
การนำสืบพยานผู้เชี่ยวชาญที่จำเลยกล่าวอ้างกฎหมายมลรัฐนิวยอร์กจึงเป็นที่พอใจแก่ศาลที่จะนำกฎหมายมลรัฐนิวยอร์กมาปรับวินิจฉัยกับข้อเท็จจริงในคดีได้
ส่วนที่โจทก์อ้างว่าพยานจำเลยไม่ได้อ้างถึงตัวบทกฎหมาย แต่อ้างเฉพาะคำพิพากษาของศาล
ไม่ถือว่าได้นำสืบข้อมูลที่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ระบบกฎหมายสหรัฐอเมริกาเป็นระบบกฎหมาย
คอมมอนลอว์ (Common Law) ซึ่งเป็นระบบกฎหมายที่พัฒนาขึ้นโดยผู้พิพากษาผ่านการตัดสินคดีความของศาล มากกว่าผ่านทางพระราชบัญญัติของฝ่ายนิติบัญญัติ จึงเป็นระบบกฎหมายที่ให้น้ำหนักการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่มีมาก่อน อันเป็นที่มาประการหนึ่งของกฎหมาย (A Source of Law)
คำพิพากษาจึงไม่ได้เป็นเพียงการตีความกฎหมาย แต่มีผลเป็นบรรทัดฐานทางกฎหมาย (Precedent) ผูกพันการตัดสินคดีในอนาคต นอกจากนี้ โดยส่วนใหญ่แล้วหลักกฎหมายเรื่องสัญญา (Contract)
มักจะมีบ่อเกิดมาจากแนวคำพิพากษา แม้ว่าปัจจุบันมีหลักกฎหมายในเรื่องสัญญาที่อ้างอิงบทบัญญัติเรื่องธุรกิจการค้า (The Uniform Commercial Code หรือ UCC) แล้วก็ตาม แต่กฎหมายดังกล่าว
ก็เป็นเพียงกฎหมายต้นแบบเพื่อให้มลรัฐต่าง ๆ นำไปบัญญัติและใช้บังคับเป็นกฎหมายภายในของตนเท่านั้น ดังนั้น การที่พยานผู้เชี่ยวชาญของจำเลยอ้างอิงคำพิพากษาของศาลมลรัฐนิวยอร์กเพื่อใช้ในการตีความข้อสัญญา จึงเป็นการนำสืบข้อเท็จจริงตามกฎหมายมลรัฐนิวยอร์กที่ไม่ได้คลาดเคลื่อนไปจากระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ (Common Law) แต่อย่างใด อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อต่อไปว่า การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญา Deed of Assignment (Finance One Funding Corporation) จากธนาคาร West LB ไปยังธนาคาร SMB นั้น สมบูรณ์และมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายมลรัฐนิวยอร์กอันทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีหรือไม่
ในปัญหานี้ ได้ความจากบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของนายฌาคส์ พยานจำเลย
ซึ่งให้ถ้อยคำในประเด็นเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องตามกฎหมายมลรัฐนิวยอร์กในฐานะความเห็น
ของพยานผู้เชี่ยวชาญว่า ตามสัญญาเครดิต ข้อ 9.10 (เอ) ว่าด้วยการโอนสิทธิและการเข้าร่วมลงทุน (Assignment and Participations) กำหนดเงื่อนไข ๓ ประการ เพื่อให้การโอนสิทธิมีผลใช้บังคับได้
โดยประการแรก ต้องมีการส่งหนังสือแจ้งการโอนสิทธิ (Notice of Assignment) ให้แก่จำเลยในฐานะธนาคารผู้ออกเลตเตอร์ออฟเครดิต (Issuing Bank) และในฐานะตัวแทนตามแบบฟอร์มที่กำหนดไว้
เพื่อการนั้น ในเอกสารแนบ 9.10 (เอ) ประการที่สอง หากจำเลยในฐานะธนาคารผู้ออกเลตเตอร์ออฟเครดิต (Issuing Bank) ซึ่งมีดุลพินิจแต่เพียงผู้เดียวที่จะให้หรือไม่ให้ความยินยอมแก่การโอนสิทธิใด ๆ ก็ได้
หากเลือกที่จะให้ความยินยอมแล้ว ก็จะลงนามในหนังสือแจ้งการโอนสิทธิ (Notice of Assignment) นั้น ในช่องว่างที่ระบุไว้เพื่อการนั้น และประการที่สาม ผู้โอนสิทธิต้องชำระค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิจำนวน 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ตัวแทน เพื่อให้ครบขั้นตอนของการโอนสิทธิและเพื่อให้การโอนสิทธิมีผลใช้บังคับ หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขประการใดประการหนึ่งในสามประการนี้ให้ครบถ้วน การโอนสิทธินั้น
ก็จะไม่มีผลใช้บังคับ ทั้งนี้ ข้อ 9.10 (เอ) (ii) กำหนดไว้ว่า ผู้โอนสิทธิจะต้องได้รับความยินยอม
จากธนาคารผู้ออกเลตเตอร์ออฟเครดิต (Issuing Bank) ซึ่งจะให้หรือไม่ให้ความยินยอมเช่นว่านั้นก็ได้ โดยเป็นดุลพินิจของธนาคารผู้ออกเลตเตอร์ออฟเครดิต (Issuing Bank) แต่เพียงผู้เดียว และการโอนสิทธิจะไม่มีผลใช้บังคับ เว้นแต่ และ จนกว่า (เอ) จะได้มีการส่งหนังสือแจ้งการโอนสิทธิ (Notice of Assignment) เกี่ยวกับการโอนสิทธินั้น ซึ่งผู้โอนสิทธิและผู้รับโอนสิทธิได้ลงนามโดยชอบแล้วให้แก่บริษัท ธนาคารผู้ออกเลตเตอร์ออฟเครดิต (Issuing Bank) และตัวแทน และ (บี) ตัวแทนได้รับการชำระค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิจำนวน 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ แล้ว ทั้งนี้ ในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้นสัญญาได้กำหนดแบบฟอร์มหนังสือแจ้ง (Notice Form) ไว้เพื่อให้ผู้ให้กู้แต่ละรายที่ประสงค์จะโอนสิทธิของตนตามสัญญาเครดิตได้นำไปใช้ ดังนั้น หากการโอนสิทธิเรียกร้องไม่ดำเนินการตามสัญญาดังกล่าว
ย่อมทำให้การโอนสิทธิเรียกร้องไม่มีผลบังคับได้ ตามแนวคำพิพากษาศาลมลรัฐนิวยอร์กวางบรรทัดฐานเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องไว้ว่า ข้อจำกัดการโอนสิทธิตามสัญญาที่ระบุไว้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา ย่อมทำให้การโอนสิทธิที่ฝ่าฝืนข้อจำกัดการโอนสิทธิตกเป็นโมฆะและไม่มีผลใช้บังคับ โดยในคดีระหว่าง Allhusen v. Caristo Const. Corp., 303 N.Y. 446 (1952) ศาลได้วินิจฉัยในหน้า 446 ว่า “the contracts at issue stated that assignment of moneys due under the contracts “without the written consent” of the other party shall be void.” ซึ่งแปลสรุปได้ว่า สัญญาพิพาทระบุว่า การโอนสิทธิในเงินตามสัญญาโดยปราศจากความยินยอมเป็นหนังสือจากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
ย่อมตกเป็นโมฆะ และวินิจฉัยในหน้า 449 ว่า “without obtaining the required consent,
an obligee under the contract purported to assign its rights to moneys due from the obligor. The putative assignee, in turn, purported to assign its rights to a third party.
The third party brought suit against the obligor to collect the moneys due. The New York Court of Appeals rejected the claim, holding that the principle of “freedom to contract” requires enforcement of a contractual restriction on assignment, as long as the restriction is stated using “clear language” and the “plainest words[.]” ซึ่งแปลสรุปได้ว่า เมื่อไม่ได้รับความยินยอมตามที่กำหนดไว้ในสัญญา การที่เจ้าหนี้โอนสิทธิในเงินของลูกหนี้ที่เป็นหนี้ตนให้แก่ผู้รับโอนสิทธิ แล้วผู้รับโอนสิทธิก็โอนสิทธิต่อไปให้แก่บุคคลที่สามอีกทอดหนึ่ง ต่อมาบุคคลที่สามนำคดีมาฟ้องเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระเงินเมื่อครบกำหนด ศาลอุทธรณ์มลรัฐนิวยอร์กพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่า ตามหลัก “เสรีภาพในการทำสัญญา” ข้อจำกัดการโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญาย่อมมีผลใช้บังคับได้ เมื่อข้อจำกัดนั้นมี “ข้อความที่ชัดเจน” และด้วย “ถ้อยคำที่ตรงไปตรงมาที่สุด” และวินิจฉัยในหน้า 452 ว่า “Finding that the contracts at issue met that standard, the Court of Appeals held that the attempted assignment without the requisite consent was “void” as against the obligor.” ซึ่งแปลสรุปได้ว่า เมื่อสัญญาพิพาทสอดคล้องกับหลักการเช่นว่านั้นแล้ว ความพยายามโอนสิทธิเรียกร้องโดยปราศจากความยินยอมตามที่กำหนดเงื่อนไขไว้ในสัญญา จึงตกเป็นโมฆะ ไม่สามารถใช้ยันกับลูกหนี้ได้ ซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องข้อจำกัดดังกล่าวก็ตรงกันกับข้อตกลงในสัญญาเครดิต ในคดีนี้ที่ระบุไว้ในข้อสัญญาอย่างชัดเจนสำหรับเงื่อนไขการโอนสิทธิเรียกร้อง แม้ในสัญญาจะไม่ได้ใช้คำว่า หากไม่ได้รับความยินยอมให้ถือว่าการโอนสิทธิ “ตกเป็นโมฆะ” หรือ “ไม่มีผลสมบูรณ์”
ก็ตาม แต่หากมีการใช้ถ้อยคำอื่นที่มีความหมายในทำนองเดียวกันก็ย่อมทำให้มีผลเช่นเดียวกัน และทำให้การโอนสิทธิเรียกร้องที่ไม่ถูกต้องนั้นตกเป็นโมฆะ โดยในคดี Jakobovits v. PHL Variable Ins. Co., 2018 U.S. Dist. LEXIS 83946 ศาลได้วางบรรทัดฐานไว้ว่า “contractual language that “assignments are ineffective without notice” is equivalent to language stating that “assignments are void without notice,” and renders void and ineffective any purported assignment without notice.” ซึ่งแปลสรุปได้ว่า ข้อความตามสัญญาที่ว่า “การโอนสิทธิเรียกร้องย่อมไม่มีผลใช้บังคับโดยปราศจากการบอกกล่าว” เทียบได้กับข้อความว่า “การโอนสิทธิเรียกร้องย่อมตกเป็นโมฆะโดยปราศจากการบอกกล่าว” จึงทำให้การโอนสิทธิเรียกร้องที่กล่าวอ้างโดยปราศจากการบอกกล่าว
ตกเป็นโมฆะและไม่มีผลใช้บังคับ และในคดี Schiavone Constr. Co. v. City of New York, 1995 U.S. Dist. LEXIS 18050 เอกสารหมาย ล.38 ศาลวินิจฉัยว่า “phrase that states an assignment ‘shall not be valid’ until filed in specified office with written consent “has the same practical effect as the phrase ‘shall be void.’” ซึ่งแปลสรุปได้ว่า วลีที่ระบุว่าการโอนสิทธิ “ไม่มีผลสมบูรณ์” จนกว่าจะได้ยื่นหนังสือยินยอมต่อหน่วยงานที่ตกลงกัน ย่อมมีความหมายในทางปฏิบัติเช่นเดียวกับวลีที่ว่า การโอนสิทธิ “ตกเป็นโมฆะ” ซึ่งในคดี TPZ Corp. v. Dabbs, 25 A.D.3d 787 ศาลวางหลักว่า “an assignee never stands in any better position than his assignor[.]”
ซึ่งหมายถึง ผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน และในคดี Caprara v. Charles Court Assocs., 216 A.D.2d 722 ศาลวางหลักเช่นเดียวกันว่า “Plaintiffs, as assignees, acquired no greater rights than those of the assignor.” ซึ่งแปลว่า โจทก์ในฐานะผู้รับโอนสิทธิย่อมไม่อาจได้มาซึ่งสิทธิที่มากไปกว่าสิทธิของผู้โอน ดังนั้น เมื่อสัญญาเครดิต ข้อ 9.10 (เอ) ระบุไว้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมาว่า
การโอนสิทธิเรียกร้องจะมีผลใช้บังคับต่อเมื่อได้ปฏิบัติครบเงื่อนไข ๓ ข้อ แล้วเท่านั้น กล่าวคือ 1. ได้ส่งหนังสือแจ้งการโอนสิทธิ (Notice of Assignment) ให้แก่บริษัท ธนาคารผู้ออกเลตเตอร์ออฟเครดิต (Issuing Bank) และตัวแทน 2. ธนาคารผู้ออกเลตเตอร์ออฟเครดิต (Issuing Bank) โดยดุลพินิจ
ของธนาคารแต่เพียงผู้เดียว ได้ให้ความยินยอมแก่การโอนสิทธิดังกล่าวแล้ว และ 3. ตัวแทนได้รับชำระค่าธรรมเนียมการโอนสิทธิจำนวน 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ การที่การโอนสิทธิเรียกร้องระหว่างธนาคาร West LB ไปยังธนาคาร SMB ไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงตามสัญญา ทำให้การโอนสิทธิเรียกร้องตกเป็นโมฆะและไม่มีผลใช้บังคับตามบรรทัดฐานคำพิพากษาของศาลมลรัฐนิวยอร์กข้างต้น ธนาคาร SMB
จึงไม่ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องใด ๆ ตามสัญญาเครดิต และโจทก์ผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องมาจากธนาคาร SMB ก็ไม่มีสิทธิใด ๆ เช่นกัน
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่จำเลยนิ่งเฉย ไม่ตอบกลับ และแจ้งให้ผู้โอนและผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องทราบว่าจะยินยอมให้มีการโอนสิทธิเรียกร้องหรือไม่นั้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง และไม่มีเหตุผลอันควร การโอนสิทธิเรียกร้องจึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากจำเลยนั้น ในปัญหานี้ นายฌาคส์ ให้ถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงตอบคำถามค้านทนายโจทก์ว่า การที่จำเลยจะให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องหรือไม่นั้น ตามสัญญาเครดิต ข้อ 9.10 (เอ) (ii) ให้จำเลยมีดุลพินิจแต่เพียงผู้เดียว
(Sole Discretion) ในการที่จะให้หรือไม่ให้ความยินยอมแก่การโอนสิทธิใด ๆ โดยในคดี State St. Bank
& Trust Co. v. Inversiones Erranzuriz Limitadsa ศาลวางหลักไว้ว่า “where a contract gives a bank the sole discretion to withhold consent, the bank may “withhold consent for any reason or no reason.” ซึ่งแปลสรุปได้ว่า ในกรณีที่สัญญาเครดิตกำหนดให้ธนาคารมีดุลพินิจแต่เพียงผู้เดียวในการที่จะไม่ให้ความยินยอม ธนาคารอาจปฏิเสธไม่ให้ความยินยอมด้วยเหตุผลใดก็ได้ หรือโดยไม่ให้เหตุผลก็ได้ และสัญญาเครดิต ก็ให้จำเลยมีดุลพินิจแต่เพียงผู้เดียวในการที่จะให้หรือไม่ให้
ความยินยอม โดยไม่มีข้อจำกัดว่าดุลพินิจดังกล่าวต้องเป็นไปอย่างสมเหตุสมผลหรือไม่ ซึ่งในคดี
Dress Shirt Sales, Inc. v. Hotel Martinique Associates ศาลได้วางหลักไว้ว่า “It is settled that, unless the lease provides that the lessor’s consent shall not be unreasonably withheld, a provision against subleasing without the lessor’s consent permits the lessor to refuse arbitrarily for any reason or no reason.” ซึ่งแปลสรุปได้ว่า เมื่อสัญญาเช่าไม่ได้กำหนดว่า
การไม่ยินยอมให้เช่าช่วงของผู้ให้เช่า ต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล ดังนั้น ผู้ให้เช่าย่อมมีสิทธิปฏิเสธ
ไม่ยินยอมให้มีการเช่าช่วงได้โดยไม่มีเหตุผล หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ได้ และในคดี Teachers Ins. & Annuity Ass’n v. Wometco Enters วางหลักว่า “in the absence of explicit contractual language stating that a party may not unreasonably withhold consent, parties may withhold consent for any reason or no reason, and … no implied obligation to act in good faith exists to limit that choice.” ซึ่งแปลสรุปได้ว่า เมื่อในสัญญาที่ไม่มีถ้อยคำที่ชัดแจ้งว่า คู่สัญญาไม่อาจปฏิเสธความยินยอมได้โดยไม่มีเหตุผล ดังนั้น การที่คู่ความไม่ให้ความยินยอมไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ หรือโดยไม่มีเหตุผล ย่อมทำได้ และไม่อาจอ้างเงื่อนไขการกระทำโดยสุจริตมาจำกัดการปฏิเสธความยินยอมเช่นว่านั้นได้ และในคดี State St. Bank & Trust Co. v. Inversiones Erranzuriz Limitadsa ตามที่ได้อ้างถึงแล้วข้างต้น ศาลยังได้วินิจฉัยว่า “with respect to the contract before it, that “[t]here are no express restrictions in the applicable negative covenants that limit State Street Bank’s right to refuse to consent to any such sale in the event of a default. Accordingly, the bank had the right under the Credit Agreement to ‘withhold consent for any reason or no reason, and … no implied obligation to act in good faith exists to limit that choice.’” ซึ่งแปลสรุปได้ว่า ในกรณีที่สัญญาไม่มีข้อจำกัดอย่างชัดแจ้งอันเป็นการห้าม (Negative Covenants) มิให้ธนาคารปฏิเสธความยินยอมต่อการขายใด ๆ ในกรณีที่มีการผิดนัด ธนาคารจึงมีสิทธิ
ที่จะไม่ให้ความยินยอมในเรื่องดังกล่าวได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดหรือไม่มีเหตุผลก็ โดยไม่มีข้อผูกมัด
เรื่องการกระทำโดยสุจริตมาจำกัดการตัดสินใจของธนาคารดังกล่าวได้ นอกจากนี้ ในคดี
Murphy v. Am. Home Prods. Corp. ศาลยืนยันหลักการที่ว่า “where there is no limiting language to the Defendant’s “sole discretion” the Defendant had the right to withhold consent for any reason or no reason, unconstrained by any obligation to act reasonably or in good faith in the exercise of that discretion.” ซึ่งแปลสรุปได้ว่า การใช้ดุลพินิจแต่เพียง
ผู้เดียวนั้น คู่สัญญามีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่ให้ความยินยอมได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดหรือโดยไม่มีเหตุผลก็ตาม และจะไม่ถูกจำกัดว่าการตัดสินใจดังกล่าวจะต้องกระทำอย่างมีเหตุผลหรือโดยสุจริตหรือไม่ด้วย
เมื่อพิจารณาการใช้ดุลพินิจแต่เพียงฝ่ายเดียวดังกล่าวตามบรรทัดฐานคำพิพากษาของศาลมลรัฐนิวยอร์กอันเป็นที่มาของกฎหมายมลรัฐนิวยอร์กดังที่ได้อธิบายมาแล้ว กรณีที่จำเลยจะปฏิเสธไม่ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องในคดีนี้ ก็สามารถที่จะทำได้ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่มีก็ตาม จำเลยไม่มีหน้าที่
ที่จะต้องแจ้งให้บุคคลใดทราบถึงการตัดสินใจของตนว่าไม่ยินยอมให้มีการโอนสิทธิเรียกร้องนั้นเนื่องด้วยเหตุใด การที่จำเลยนิ่งเฉยไม่ดำเนินการเกี่ยวกับการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น จึงถือเป็นการปฏิเสธโดยไม่ให้เหตุผล ซึ่งไม่อาจตีความสัญญาเครดิตตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยต้องมีหน้าที่แสดงความไม่ยินยอมอย่างแจ้งชัดแต่อย่างใด ซึ่งขัดกับหลักกฎหมายตามคำพิพากษาของศาลมลรัฐนิวยอร์กในคดี Collare v. Flower Hill ที่วางหลักว่า “Where language has been chosen containing no inherent ambiguity or uncertainty, courts are properly hesitant, under the guise of judicial construction, to imply additional requirements to relieve a party form asserted disadvantage flowing from the terms actually used.” ซึ่งแปลสรุปได้ว่า ในกรณีที่ภาษาที่ถูกนำมาใช้ในสัญญาไม่ได้มีเนื้อหาที่คลุมเครือหรือไม่แน่นอน ศาลควรหลีกเลี่ยงการตีความกฎหมาย
ในลักษณะที่สร้างเงื่อนไขเพิ่มเติมเพื่อทำให้คู่สัญญาที่เสียเปรียบหลุดพ้นไป และในคดี Aniero Concrete Co. v. New York City Constr. Auth. ศาลวินิจฉัยไว้ว่า “defendant’s “failing to respond” to plaintiff’s written assertion that it was assignee under contract did not constitute consent to assignment.” ซึ่งแปลสรุปได้ว่า การที่จำเลยไม่ได้ตอบกลับเป็นลายลักษณ์อักษรว่า โจทก์เป็นผู้รับโอนสิทธิตามสัญญาหรือไม่ ไม่ถือได้ว่าเป็นการให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องแต่อย่างใด ดังนั้น ในคดีนี้ การที่จำเลยไม่ได้ติดต่อกลับหรือพยายามดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้อง ย่อมไม่ถือว่าเป็นการให้ความยินยอมตามกฎหมายมลรัฐนิวยอร์กตามที่จำเลยนำสืบ
ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า กฎหมายมลรัฐนิวยอร์กให้ความสำคัญกับ “หลักเสรีภาพในการแสดงเจตนา” โดยไม่พิจารณาถึง “หลักสุจริต” จึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามกฎหมายไทยนั้น เห็นว่า โจทก์อุทธรณ์อ้างว่าหลักสุจริตเป็นบทควบคุมการแสดงเจตนาตามกฎหมายไทยอันเป็นหลักของความเป็นธรรม ความยุติธรรม ความซื่อสัตย์และไว้วางใจกัน อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕ และมาตรา 368 ที่บุคคลต้องใช้สิทธิและปฏิบัติหน้าที่ในการชำระหนี้โดยสุจริตโดยเฉพาะในทางการค้าที่ผู้ประกอบธุรกิจต้องมีความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญแตกต่างจากบุคคลทั่วไปเพื่อหากำไรหรือผลประโยชน์ตอบแทนจากคู่สัญญา แม้กฎหมายสหรัฐอเมริกามีบทบัญญัติเรื่องธุรกิจการค้า
(The Uniform Commercial Code หรือ UCC) โดยได้บัญญัติหลักสุจริตไว้ตามมาตรา 2-103 (1) ว่า พ่อค้าจะต้องมีความซื่อสัตย์ในข้อความจริงและยึดถือตามธรรมเนียมปฏิบัติทางการค้าอันชอบด้วยเหตุผลในการติดต่อทางการค้าระหว่างกัน จำเลยในฐานะตัวแทนสถาบันการเงิน (Agent Bank) ที่ได้รับค่าธรรมเนียมรายปีจำนวนมาก ย่อมต้องใช้ดุลพินิจในการให้ความยินยอมแก่การโอนสิทธิเรียกร้องอย่างสมเหตุสมผลหรือโดยสุจริต อย่างน้อยที่สุดต้องแจ้งให้ผู้โอนหรือผู้รับโอนทราบว่าจำเลยจะยินยอมหรือไม่อย่างไร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอย่างยิ่ง อันเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทำให้กฎหมายมลรัฐนิวยอร์กที่ไม่ได้กำหนดห้ามเรื่องนี้
จึงบังคับใช้ไม่ได้ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 ดังนั้น จึงต้องนำกฎหมายไทยมาใช้ปรับกับสัญญาเครดิตเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น ในปัญหานี้ พิจารณาแล้ว เห็นว่า การกล่าวอ้างเรื่องหลักความไม่สุจริตนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 บัญญัติว่า สัญญานั้นท่านให้ตีความตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีด้วย สำหรับสัญญาเครดิตในส่วนของการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น คู่สัญญาตกลงให้เป็นดุลพินิจของจำเลย
แต่เพียงผู้เดียวที่จะให้ความยินยอมหรือไม่ก็ได้ อันเป็นความประสงค์ที่ชัดแจ้งของสัญญา ประกอบกับตามปกติประเพณีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินตามที่ได้ความจากนางจูเลีย กรรมการผู้จัดการจำเลย และนายฌาคส์ พยานผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายให้ถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไว้ ได้ความว่า จำเลยในฐานะสถาบันการเงินย่อมอยู่ภายใต้บังคับของกฎระเบียบและถูกกำกับดูแลโดยหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริการวมถึงหน่วยงานของมลรัฐนิวยอร์ก กฎหมายกำหนดให้จำเลยต้องปฏิบัติตามข้อห้าม
และข้อจำกัดหลายประการ รวมถึงกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
(Anti-money Laundering หรือ AML) และกฎหมายว่าด้วยการลงโทษระหว่างประเทศที่กำกับดูแลโดยสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติ กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา (The U.S. Department of the Treasury, Office of Foreign Assets Control หรือ OFAC) ซึ่งต้องมีข้อผูกพันเกี่ยวกับ
การตรวจสอบลูกค้าของตน (Know Your Customer หรือ KYC) โดยต้องมีนโยบายสำหรับการตอบรับลูกค้า ตรวจสอบอัตลักษณ์ลูกค้า ตรวจสอบการดำเนินงานลูกค้า และบริหารจัดการความเสี่ยง ทำให้จำเลยต้องวิเคราะห์สถานะ (Due Diligence) ลูกค้าของตน ต้องปฏิบัติตามระบบต่อต้านการติดสินบนและการคอร์รัปชั่น (anti-bribery and corruption) และระบบคัดกรองการปฏิบัติตามมาตรการลงโทษในเชิงเศรษฐกิจ (economic sanction compliance screening regime) หากการโอนสิทธิต่าง ๆ กระทำได้โดยปราศจากความยินยอมโดยชัดแจ้งของจำเลย การโอนดังกล่าวอาจก่อให้เกิดประเด็น
ทางกฎเกณฑ์และการปฏิบัติตามกฎระเบียบแก่จำเลย อันเป็นการบังคับให้จำเลยต้องเข้าเป็นคู่สัญญากับบุคคลหรือนิติบุคคลที่จำเลยไม่พึงประสงค์ ขัดต่อข้อผูกพันเกี่ยวกับการตรวจสอบลูกค้า ทำให้จำเลย
ต้องมีความรับผิดตามข้อกำหนดควบคุมบังคับที่เกี่ยวข้องข้างต้น เรื่องนี้จึงเป็นแนวปฏิบัติของสถาบันการเงินที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้ดุลพินิจแก่จำเลยเพียงแต่ผู้เดียวที่จะให้หรือไม่ให้ความยินยอมแก่การโอนก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีเหตุผลในทางประเพณีทางการค้าและอยู่บนพื้นฐานของเจตนารมณ์ของคู่สัญญา ดังนั้น จากข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบได้ความดังกล่าว แม้จำเลยจะได้รับแจ้งเรื่องการโอนสิทธิเรียกร้องแล้วนิ่งเฉยไม่ติดต่อกลับหรือไม่ดำเนินการใด ๆ นั้น ย่อมถือว่าจำเลยไม่ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องนั้นเอง ซึ่งตามกฎหมายมลรัฐนิวยอร์กได้อธิบายแนวทางและหลักการพิจารณาเรื่องความยินยอมในลักษณะนี้ไว้โดยละเอียดและสอดคล้องกับหลักการทั่วไปของการตีความสัญญาบนหลักความศักดิ์สิทธิแห่งการแสดงเจตนาและหลักเสรีภาพแห่งสัญญาเป็นหลัก เมื่อสัญญาเครดิต เป็นสัญญาทางพาณิชย์ที่ใช้สำหรับการประกอบธุรกิจการค้าอันมีธรรมเนียมปฏิบัติและจารีตประเพณีทางการค้าที่เกี่ยวกับสถาบันการเงินซึ่งมีลักษณะพิเศษ มีผลและผูกพันผลประโยชน์ระหว่างคู่สัญญาโดยเฉพาะและมิได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์สาธารณะ ประกอบกับข้อจำกัดดังกล่าวมิได้ทำให้เกิดความได้เปรียบ เสียเปรียบ หรือไม่เป็นธรรมแก่ผู้ใด การนิ่งเฉยไม่ให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้องของจำเลย
จึงไม่ได้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และไม่ขัดแย้งกับกฎหมายไทยอันจะทำให้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแห่งประเทศไทยตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 แต่อย่างใด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า การโอนสิทธิเรียกร้องตามสัญญา
Deed of Assignment (Finance One Funding Corporation) นั้นเป็นโมฆะและไม่มีผลใช้บังคับ
ตามกฎหมายมลรัฐนิวยอร์ก ดังนั้น แม้ธนาคาร SMB จะโอนสิทธิเรียกร้องนั้นให้แก่โจทก์ต่อมาอีกทอดหนึ่งก็ตาม โจทก์ผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิใด ๆ ดีไปกว่าธนาคาร SMB ผู้โอน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยมานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น อุทธรณ์ข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.
(จักรกฤษณ์ เจนเจษฎา - จุมพล ภิญโญสินวัฒน์ - มนตรี ศิลป์มหาบัณฑิต)
ณัฐจิรา ขันทอง – ย่อ
นิภา ชัยเจริญ - ตรวจ