คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 67/2565

บริษัทเอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)            โจทก์

บริษัทจีโอดีส ไทย จำกัด กับพวก          จำเลย

 

ป.วิ.พ. มาตรา ๓ (๒) (ข), ๒๗, ๘๓ ทวิ, ๘๓ จัตวา, ๒๔๖

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๗, ๒๖, ๓๙

       

       ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนซึ่งจัดตั้งตามกฎหมายสหรัฐอเมริกา คำฟ้องโจทก์จึงต้องระบุที่อยู่อันเป็นภูมิลำเนาที่แท้จริงของจำเลยที่ ๒
ในต่างประเทศ แต่โจทก์กลับระบุที่อยู่ของจำเลยที่ ๒ เป็นที่อยู่ของจำเลยที่ ๑ ในราชอาณาจักรซึ่งไม่ถูกต้อง โดยการระบุที่อยู่ของจำเลยที่ ๒ นี้เป็นคนละเรื่องกับสถานที่ที่อาจส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีแก่จำเลยที่ ๒ ในราชอาณาจักรได้ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา ๘๓ ทวิ วรรคหนึ่ง และไม่ปรากฏจากคำฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ ประกอบกิจการในราชอาณาจักรด้วยตนเอง โดยตัวแทน หรือมีการตกลงเป็นหนังสือว่าคำคู่ความและเอกสารที่ต้องส่งให้แก่จำเลยที่ ๒ ให้ส่งแก่ตัวแทนซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรที่จำเลยที่ ๒ ได้แต่งตั้งไว้เพื่อการนี้ แต่ในคดีนี้โจทก์นำส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๑ ทั้ง ๆ ที่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดหรือมีพฤติการณ์ใดว่าจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ หรือจำเลยที่ ๒ ได้ตกลงเป็นหนังสือว่าคำคู่ความและเอกสารที่ต้องส่งให้จำเลยที่ ๒ ให้ส่งให้จำเลยที่ ๑ แม้ในใบตราส่งเอกสารหมาย จ.๔ ระบุว่า การรับมอบสินค้าให้ติดต่อจำเลยที่ ๑ ณ ที่อยู่ของจำเลยที่ ๑ ก็ตาม แต่ที่อยู่ดังกล่าวระบุไว้ก็เพียงเพื่อการรับมอบสินค้าของผู้รับสินค้าเท่านั้น จำเลยที่ ๑ ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ส่งมอบสินค้าให้ผู้รับสินค้าแต่มิได้รับมอบหมายหรือแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนในทางการค้าและธุรกิจอันเป็นปกติ ที่อยู่ดังกล่าวจึงมิใช่ที่อยู่เพื่อการส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีให้แก่จำเลยที่ ๒ ยิ่งไปกว่านั้น ภายหลังได้รับหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีของจำเลยที่ ๒ แล้ว จำเลยที่ ๑ ได้มีหนังสือนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องดังกล่าวคืนศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและยืนยันว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ในประเทศไทย ซึ่งโจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านให้เห็นเป็นอย่างอื่น กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนหรือเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากจำเลยที่ ๒ ให้มีอำนาจรับหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีในราชอาณาจักรแทนจำเลยที่ ๒ ดังนั้นการนำส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีของจำเลยที่ ๒ ไปยังภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีที่ไม่ชอบตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ประกอบ ป.วิ.พ.
มาตรา ๘๓ ทวิ และมาตรา ๘๓ จัตวา

        ส่วนที่โจทก์กล่าวอ้าง ขอให้ส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีแก่จำเลยที่ ๒ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๑ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๓ (๒) (ข) นั้น บทบัญญัติดังกล่าวเป็นเรื่องเขตศาลที่โจทก์อาจ
เสนอคำฟ้องคดีแพ่งต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งซึ่งมีเขตอำนาจได้ในกรณีที่จำเลยไม่มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักร ไม่ใช่เรื่องการระบุภูมิลำเนาหรือที่อยู่ของจำเลยในคำฟ้อง และไม่ใช่
เรื่องสถานที่ในราชอาณาจักรที่อาจส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีแก่จำเลยดังกล่าวได้ ทั้งคดีการค้าระหว่างประเทศเป็นคดีที่โจทก์ต้องฟ้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเท่านั้น ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและ
วิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๗ บทบัญญัติดังกล่าวจึงไม่อาจนำมาใช้บังคับแก่คดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้ การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งรับคำฟ้องในส่วนของจำเลยที่ ๒ โดยไม่ได้สั่งให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องให้ถูกต้องเสียก่อนและอนุญาตให้ส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีแก่จำเลยที่ ๒ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ซึ่งปัญหาการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นสมควรวินิจฉัยได้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ในประเด็นนี้ และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ย่อมมีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่เกี่ยวข้องและผิดระเบียบในส่วนของจำเลยที่ ๒ ตั้งแต่
ชั้นรับคำฟ้อง ชั้นพิจารณา และชั้นทำคำพิพากษานั้นเสียได้ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สิน
ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๙ ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา ๒๗ และมาตรา ๒๔๖ เมื่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ แล้ว ในชั้นนี้จึงยังไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นเรื่องความรับผิดและข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยที่ ๒
ตามอุทธรณ์ของโจทก์

______________________________

         โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๘๗๔,๐๓๘.๔๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๘๕๒,๘๓๔.๓๘ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

         จำเลยที่ ๑ ให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ

         ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียม
ให้เป็นพับ

         โจทก์อุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในชั้นอุทธรณ์โดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคัดค้านว่า เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ บริษัทไทย-สวีดิช แอสเซมบลีย์ จำกัด สั่งซื้อเครื่องยนต์ ๑๖ เครื่อง จากผู้ขายในสาธารณรัฐฝรั่งเศส ภายใต้เงื่อนไขการซื้อขายแบบ FCA ตกลงส่งมอบสินค้ากันที่เมือง Venissieux ในสาธารณรัฐฝรั่งเศส ตามใบกำกับสินค้า สินค้าถูกจัดวางบนไม้รองสินค้า ๘๘ แผ่น แล้วบรรจุในตู้สินค้าของจำเลยที่ ๒ จำนวน ๖ ตู้ และจัดส่งมายังประเทศไทยโดยการขนส่งโดยเรือบรรทุกสินค้าชื่อ NYK SWAN เดินทางจากสาธารณรัฐฝรั่งเศสมายังสาธารณรัฐสิงคโปร์และขนส่งด้วยเรือบรรทุกสินค้าชื่อ SEASPAN THAMES เดินทางจากสาธารณรัฐสิงคโปร์มายังประเทศไทย โดยมีท่าเรือ FOS SUR MER ในสาธารณรัฐฝรั่งเศสเป็นท่าเรือต้นทาง (Port of Loading) และท่าเรือแหลมฉบังเป็นท่าเรือปลายทาง (Place of Delivery) ตามใบตราส่ง บริษัทไทย-สวีดิช แอสเซมบลีย์ จำกัด ผู้ซื้อ ได้ทำสัญญาประกันภัยสินค้าไว้กับโจทก์ภายใต้สัญญาประกันภัยรายปี โดยให้ความคุ้มครองความเสียหายทุกประเภท (All Risks) ที่เกิดขึ้น
จากการขนส่งจากสาธารณรัฐฝรั่งเศสจนมาถึงประเทศไทย ระยะเวลาให้ความคุ้มครองเริ่มตั้งแต่วันที่
๘ มีนาคม ๒๕๖๐ จนถึงวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๑ โจทก์ออกกรมธรรม์ประกันภัยตามสัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์กับผู้เอาประกันภัยไว้ เมื่อสินค้ามาถึงท่าเรือปลายทาง ตัวแทนของผู้เอาประกันภัย
เปิดตู้สินค้าพบว่าเครื่องยนต์ ๒ เครื่อง ที่บรรจุในตู้สินค้าหมายเลข MOFU 0641961 ได้รับ
ความเสียหายเนื่องจากเครื่องยนต์หลุดออกจากไม้รองสินค้า มีน้ำมันเครื่องไหล ถุงลมกันกระแทกแตก ตามรายการความเสียหายและภาพถ่ายความเสียหาย ผู้เอาประกันภัยจึงเรียกร้องค่าเสียหายจากโจทก์ตามสัญญาประกันภัย เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ โจทก์ชำระเงินค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยไป ๘๕๒,๘๓๔.๓๘ บาท โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในวันเดียวกันตามสำเนาใบสำคัญจ่าย สำเนาเช็คและสำเนาหนังสือการรับช่วงสิทธิ

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกว่า จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดตามสัญญารับขนต่อโจทก์ในฐานะผู้ขนส่งหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองปากไม่ได้เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการทำสัญญาขนส่งว่าจำเลยที่ ๑ เข้าทำสัญญากับบุคคลใดและเมื่อใด และจำเลยที่ ๑ แต่งตั้งให้บริษัทจีโอดีส เฟรท ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ในสาธารณรัฐฝรั่งเศสเป็นตัวแทนเพื่อว่าจ้างจำเลยที่ ๒ ขนส่งสินค้าอีกทอดหนึ่งเมื่อใด อย่างไร อีกทั้งโจทก์ไม่ได้อ้างพยานเอกสารหรือพยานอื่นใดมาประกอบ
คำเบิกความพยานโจทก์ เป็นต้นว่า ประวัติการทำสัญญาว่าจ้างให้ขนส่งสินค้าในลักษณะเดียวกันนี้ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับบริษัทจีโอดีส เฟรท ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ในสาธารณรัฐฝรั่งเศสและจำเลยที่ ๒
หรือหลักฐานการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เอาประกันภัยกับจำเลยที่ ๑ หรือระหว่างจำเลยที่ ๑ กับบริษัทจีโอดีส เฟรท ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ในสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ และระหว่างบริษัทจีโอดีส เฟรท ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ในสาธารณรัฐฝรั่งเศสกับจำเลยที่ ๒ เพื่อให้เห็นถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างกัน
เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ เคยเข้าทำสัญญารับขนกับผู้เอาประกันภัย อีกทั้งในทางนำสืบโจทก์
ก็ไม่ปรากฏหลักฐานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารระหว่างกันและไม่ปรากฏรายการใบเสนอราคาค่าบริการ ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงินค่าบริการการขนส่ง หรือเอกสารอื่นใดอันพอที่จะสนับสนุนคำกล่าวอ้าง
ของโจทก์ให้มีความน่าเชื่อถือว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นนั้น จึงเป็นแต่เพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ
แต่ในทางกลับกันจำเลยที่ ๑ นำสืบต่อสู้ว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นผู้ขนส่ง โดยนางสาวอรพิศ ลูกจ้างจำเลยที่ ๑ เบิกความเป็นพยานจำเลยที่ ๑ ยืนยันว่า ผู้ส่งสินค้าเป็นผู้ว่าจ้างให้บริษัทจีโอดีส เฟรท ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ในสาธารณรัฐฝรั่งเศส เป็นผู้ขนส่งสินค้าเพื่อนำมาส่งมอบให้ผู้เอาประกันภัยที่ท่าเรือแหลมฉบัง หลังจากนั้นบริษัทจีโอดีส เฟรท ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ในสาธารณรัฐฝรั่งเศสจะแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับผู้รับสินค้า
และระยะเวลาที่สินค้าจะมาถึงให้จำเลยที่ ๑ ทราบเพื่อให้จำเลยที่ ๑ แจ้งให้ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้รับสินค้าทราบว่าสามารถติดต่อรับสินค้าได้จากบุคคลใด ณ สถานที่ใด นอกจากหน้าที่แจ้งรายละเอียด
การมาถึงของเรือและสินค้าและการปล่อยสินค้าแล้ว จำเลยที่ ๑ ยังมีหน้าที่เก็บค่าระวางเรือแทน
บริษัทจีโอดีส เฟรท ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ในสาธารณรัฐฝรั่งเศส เมื่อเรียกเก็บค่าระวางเรือได้แล้วก็จะโอนเงินดังกล่าวไปให้บริษัทจีโอดีส เฟรท ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ในสาธารณรัฐฝรั่งเศสต่อไป นอกจากนี้ ตามใบแจ้งหนี้เพื่อเรียกเก็บค่าระวางเรือของจำเลยที่ ๑ ที่ส่งถึงผู้เอาประกันภัยและใบเสร็จรับเงินค่าระวางเรือ ก็ไม่ปรากฏว่าเมื่อได้รับเงินค่าระวางเรือแล้วจำเลยที่ ๑ หักเงินค่าระวางเรือไว้เป็นส่วนของตนก่อนการนำส่งให้จำเลยที่ ๒ แต่อย่างใด เมื่อคดีนี้โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้เห็นถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ก่อนและหลังการเข้าทำสัญญารับขนระหว่างคู่สัญญาที่เกี่ยวข้องตามข้อกล่าวอ้างของโจทก์หรือพฤติการณ์อื่นใด
ที่พอจะบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขนส่งสินค้าในช่วงใด ทอดใด ของการขนส่งจากท่าเรือต้นทาง
ในสาธารณรัฐฝรั่งเศสแล้วมาแวะเปลี่ยนเรือขนส่งที่สาธารณรัฐสิงคโปร์เพื่อเดินทางต่อมามายังท่าเรือแหลมฉบังซึ่งเป็นท่าเรือปลายทางในประเทศไทย แต่โจทก์ไม่สามารถนำสืบพิสูจน์ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงเหล่านั้นได้โดยประจักษ์ ถือว่าโจทก์นำสืบได้ไม่สมดังคำฟ้อง ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การปฏิเสธว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ผู้ขนส่ง บริษัทจีโอดีส เฟรท ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ในสาธารณรัฐฝรั่งเศสไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่แจ้งการมาถึงของเรือขนส่งและสินค้าให้ผู้เอาประกันภัยทราบเพื่อจะได้มาติดต่อขอรับสินค้าได้ถูกต้องว่าผู้รับสินค้าจะต้องมาติดต่อรับสินค้า
จากจำเลยที่ ๑ ณ ที่ทำการของจำเลยที่ ๑ ตามที่ระบุไว้ในใบตราส่ง กับจำเลยที่ ๑ มีหน้าที่เก็บเงิน
ค่าระวางเรือจากผู้เอาประกันภัยเพื่อนำส่งให้บริษัทจีโอดีส เฟรท ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ในสาธารณรัฐฝรั่งเศสตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งเท่านั้น ที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือแสดงความรับผิดเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้น และจำเลยที่ ๑ มีข้อตกลงเรื่องการกระทำการรับขนส่งสินค้ากับบริษัทจีโอดีส
เฟรท ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ในสาธารณรัฐฝรั่งเศส ตามเอกสารหมาย จ.๒๒ ก็ไม่ปรากฏว่ามีเนื้อความในทำนองนี้ในเอกสารดังกล่าว อีกทั้งโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบอธิบายเนื้อความในเอกสารเหล่านี้ว่าจำเลยที่ ๑ ตกลงแสดงความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นและมีข้อสัญญาระหว่างจำเลยที่ ๑ กับบริษัทจีโอดีส เฟรท
ฟอร์เวิร์ดดิ้ง ในสาธารณรัฐฝรั่งเศสว่าจะกระทำการรับขนส่งสินค้าภายใต้ข้อตกลงใด อย่างไรหรือ
มีความรับผิดระหว่างกันอย่างไร พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๑
เป็นบุคคลซึ่งประกอบกิจการรับขนของทางทะเลเพื่อบำเหน็จเป็นทางการค้าปกติโดยรับทำสัญญารับขนของทางทะเลกับผู้ส่งของและจำเลยที่ ๑ หรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้ขนส่งให้ทำการขนส่งตามสัญญานั้นในช่วงระยะทางช่วงใดช่วงหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๓ จำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นผู้ขนส่งสินค้าไม่ว่าในฐานะผู้ขนส่ง ผู้ขนส่งอื่น หรือในฐานะใด เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ผู้ขนส่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สินค้าของผู้เอาประกันภัย แม้โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้าและชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้วก็ตาม โจทก์ก็ไม่อาจรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยเพื่อมาเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ได้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยมานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์
ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อต่อไปว่า จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดต่อโจทก์
ตามสัญญารับขนหรือไม่ เพียงใด ก่อนจะพิจารณาปัญหาในข้อนี้ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาที่ปรากฏจากการตรวจสำนวนพบว่าคำฟ้องของโจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ ๒ เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนจัดตั้งตามกฎหมายสหรัฐอเมริกา ในคำฟ้องโจทก์จึงต้องระบุที่อยู่อันเป็นภูมิลำเนาที่แท้จริงของจำเลยที่ ๒ ในต่างประเทศ แต่โจทก์กลับระบุที่อยู่ของจำเลยที่ ๒ เป็นที่อยู่ของจำเลยที่ ๑
ในราชอาณาจักรซึ่งไม่ถูกต้อง โดยการระบุที่อยู่ของจำเลยที่ ๒ นี้เป็นคนละเรื่องกับสถานที่ที่อาจส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีแก่จำเลยที่ ๒ ในราชอาณาจักรได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๓ ทวิ วรรคหนึ่ง และไม่ปรากฏจากคำฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ ประกอบกิจการในราชอาณาจักรด้วยตนเอง
โดยตัวแทน หรือมีการตกลงเป็นหนังสือว่าคำคู่ความและเอกสารที่ต้องส่งให้แก่จำเลยที่ ๒ ให้ส่งแก่ตัวแทนซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรที่จำเลยที่ ๒ ได้แต่งตั้งไว้เพื่อการนี้ แต่ในคดีนี้โจทก์นำส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีให้แก่จำเลยที่ ๒ ที่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๑ ทั้ง ๆ ที่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใด
หรือมีพฤติการณ์ใดว่าจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ หรือจำเลยที่ ๒ ได้ตกลงเป็นหนังสือว่า
คำคู่ความและเอกสารที่ต้องส่งให้จำเลยที่ ๒ ให้ส่งให้จำเลยที่ ๑ แม้ในใบตราส่งระบุว่า การรับมอบสินค้าให้ติดต่อจำเลยที่ ๑ ณ ที่อยู่ของจำเลยที่ ๑ ก็ตาม แต่ที่อยู่ดังกล่าวระบุไว้ก็เพียงเพื่อการรับมอบสินค้าของผู้รับสินค้าเท่านั้น จำเลยที่ ๑ ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ส่งมอบสินค้าให้ผู้รับสินค้าแต่มิได้รับมอบหมายหรือแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนในทางการค้าและธุรกิจอันเป็นปกติ ที่อยู่ดังกล่าวจึงมิใช่ที่อยู่เพื่อการส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีให้แก่จำเลยที่ ๒ ยิ่งไปกว่านั้น ภายหลังได้รับหมายเรียกและคำฟ้อง
ตั้งต้นคดีของจำเลยที่ ๒ แล้ว จำเลยที่ ๑ ได้มีหนังสือนำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องดังกล่าวคืน
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางและยืนยันว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ในประเทศไทย ซึ่งโจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านให้เห็นเป็นอย่างอื่น กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนหรือเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากจำเลยที่ ๒ ให้มีอำนาจรับหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีในราชอาณาจักรแทนจำเลยที่ ๒ ดังนั้นการนำส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีของจำเลยที่ ๒ ไปยังภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๑ ตามที่ปรากฏในหนังสือรับรองนิติบุคคลเอกสารหมาย จ.๗ ของโจทก์
จึงเป็นการส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีที่ไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สิน
ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๓ ทวิ
และมาตรา ๘๓ จัตวา ส่วนที่โจทก์กล่าวอ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓ (๒) (ข) เพื่อขอให้ส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีแก่จำเลยที่ ๒ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๑ นั้น บทบัญญัติดังกล่าวเป็นเรื่องเขตศาลที่โจทก์อาจเสนอคำฟ้องคดีแพ่งต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง
ซึ่งมีเขตอำนาจได้ในกรณีที่จำเลยไม่มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักร ไม่ใช่เรื่องการระบุภูมิลำเนาหรือที่อยู่ของจำเลยในคำฟ้อง และไม่ใช่เรื่องสถานที่ในราชอาณาจักรที่อาจส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดี
แก่จำเลยดังกล่าวได้ ทั้งคดีการค้าระหว่างประเทศเป็นคดีที่โจทก์ต้องฟ้องต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเท่านั้น ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๗ บทบัญญัติดังกล่าวจึงไม่อาจนำมาใช้บังคับแก่คดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศได้ การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
มีคำสั่งรับคำฟ้องในส่วนของจำเลยที่ ๒ โดยไม่ได้สั่งให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องให้ถูกต้องเสียก่อนและอนุญาตให้ส่งหมายเรียกและคำฟ้องตั้งต้นคดีแก่จำเลยที่ ๒ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ ๑ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ซึ่งปัญหาการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นสมควรวินิจฉัยได้เองแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยื่นอุทธรณ์ในประเด็นนี้ และศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษย่อมมีอำนาจ
เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่เกี่ยวข้องและผิดระเบียบในส่วนของจำเลยที่ ๒ ตั้งแต่ชั้นรับคำฟ้อง
ชั้นพิจารณา และชั้นทำคำพิพากษานั้นเสียได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญา
และการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๙ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ และมาตรา ๒๔๖
เมื่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ แล้ว ในชั้นนี้จึงยังไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยความรับผิดและข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยที่ ๒ ต่อโจทก์เรื่องการบรรจุหีบห่อสินค้าที่ไม่เหมาะสมกับสภาพแห่งของว่ามีหรือไม่ เพียงใด ตามอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

         พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ และให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ทั้งหมดนับตั้งแต่มีคำสั่งรับคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒ โดยให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของจำเลยที่ ๒ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย และมีคำสั่งหรือคำพิพากษาสำหรับจำเลยที่ ๒ เสียใหม่ตามรูปคดี นอกจาก
ที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ให้เป็นพับ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ให้รวมไว้สั่งเมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่ง
หรือพิพากษา.

(สุวิทย์ รัตนสุคนธ์ - ธารทิพย์ จงจักรพันธ์ - วิวัฒน์ วงศกิตติรักษ์)

 

ณัฐจิรา ขันทอง – ย่อ

นิภา ชัยเจริญ - ตรวจ