คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 557/2563 บริษัท บ. โจทก์
องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ผู้ร้อง บริษัท ท. จำเลย
ป.วิ.พ. มาตรา 274
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างผู้ร้องกับจำเลยซึ่งศาลทรัพย์สินทางปัญญา
และการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำพิพากษาตามยอม มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน
ที่กำหนดให้ผู้ร้องและจำเลยมีหนี้หรือหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อกันดังกล่าวแล้ว หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามที่ตกลงกัน อีกฝ่ายหนึ่งก็อาจไม่ยอมชำระหนี้ตอบแทนได้ เมื่อมีข้อพิพาทโดยแต่ละฝ่ายต่างยื่นคำร้องขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางออกหมายบังคับคดี
แก่อีกฝ่ายโดยกล่าวอ้างและโต้แย้งว่าอีกฝ่ายผิดนัดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ แสดงว่าในขณะนั้นข้อเท็จจริงยังไม่ยุติว่าในที่สุดจะต้องบังคับคดีแก่ผู้ร้องหรือจำเลยเนื่องจาก
ยังโต้แย้งกันอยู่ จนกระทั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้ไต่สวนพยานหลักฐานและวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ กับมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๙ ถือได้ว่าผู้ร้องอาจบังคับคดีแก่จำเลยได้ในวันที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งนั้นเอง และเมื่อนับถึงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ อันเป็นวันที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์
ในคดีนี้ ยังไม่เกินระยะเวลา ๑๐ ปี ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา ๒๗๔ ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ได้
______________________________
คดีสืบเนื่องมาจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษา
ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑๓,๖๕๔,๘๔๗.๗๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๙,๕๔๘,๔๒๕.๙๒ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๘,๐๐๐ บาท ต่อมาศาลดังกล่าวได้ออกหมายบังคับคดี และโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดี
ยึดทรัพย์สินต่าง ๆ ในบ้านเลขที่ ๑๐๒ หมู่ที่ ๒ ตำบลปากคลองบางปลากด อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์เพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่เจ้าหนี้
ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ผู้ร้องได้เข้าเฉลี่ยทรัพย์จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าวด้วย เนื่องจากผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่าง
ประเทศกลาง
โจทก์ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ย
ในทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินจากการยึดหรืออายัดในคดีนี้ได้ตามส่วน ไม่เกินจำนวนหนี้
ที่จำเลยค้างชำระแก่ผู้ร้องจำนวน ๗๕,๔๗๔,๘๐๓.๙๘ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องและโจทก์ไม่โต้แย้งกันในชั้นอุทธรณ์ฟังได้ว่า จำเลยได้ฟ้องผู้ร้องและบุคคลอื่นเป็นคดีต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ต่อมาจำเลยถอนฟ้องบุคคลอื่นและทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้ร้อง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษา
ตามยอมเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๐ ต่อมาวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ จำเลยยื่นคำขอต่อศาลทรัพย์สิน
ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางว่า ผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม ขอให้
ออกหมายบังคับคดี หรือตั้งกรรมการร่วมกันเพื่อเจรจา ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านและคำขอว่า ผู้ร้อง
ไม่ได้ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม จำเลยเป็นฝ่ายไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม ขอให้
ยกคำร้องขอของจำเลย และขอให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่จำเลยนำเงินมาชดใช้
ค่าไม้สักสวนป่าแก่ผู้ร้อง ภายหลังจากหักกลบลบหนี้แล้วเป็นจำนวน ๗๕,๔๗๔,๘๐๓.๙๘ บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระค่าไม้สักสวนป่า (วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๘) จนถึงวันที่จำเลยชำระเสร็จ ดอกเบี้ยคิดถึง
วันที่ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านรวม ๑๕๙ วัน เป็นจำนวน ๒,๔๖๕,๘๕๔.๙๐ บาท จำเลยยื่นคำคัดค้าน
ขอให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้ว
มีคำสั่งให้ยกคำร้องขอออกหมายบังคับคดีของจำเลย และให้ออกหมายบังคับคดีตามคำขอของผู้ร้อง
เพื่อบังคับคดีแก่จำเลย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้อง โดยกำหนดค่าทนายความ
๓๐,๐๐๐ บาท จำเลยอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพิจารณาแล้วพิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แก่ผู้ร้อง ๒๐,๐๐๐ บาท
ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ให้เป็นพับ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้ผู้ร้องและจำเลยฟังเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ ส่วนคดีนี้ วันที่ ๒๑
และ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๙ ผู้ร้องได้นำเจ้าพนักงานบังคดีจังหวัดชลบุรียึดไม้ซุงสักของจำเลย
๑,๒๙๙ ท่อน ปริมาตร ๑๘๘.๓๗ ลูกบาศก์เมตร ขายได้เงิน ๘๓๐,๐๐๐ บาท ผู้ร้องได้รับชำระหนี้
จากเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อแรกของโจทก์ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
ที่มีสิทธิร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ในคดีที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำพิพากษาตามยอม ซึ่งตามสำเนาสัญญาประนีประนอมยอมความมีสาระสำคัญ
โดยสรุปส่วนหนึ่งว่า จำเลยตกลงซื้อและผู้ร้องตกลงขายไม้สักสวนป่าที่ทำจากสวนป่าของผู้ร้อง ๑๑ แห่ง เป็นจำนวนตามที่ระบุ โดยจำเลยตกลงชำระราคาไม้สัก ค่าจ้างทำไม้ ค่าประกันความเสี่ยงภัย
และค่าดูแลรักษาไม้ให้แก่ผู้ร้องตามกำหนดเวลาและวิธีการที่ระบุไว้ หากไม้สักในสวนป่ามีจำนวน
ไม่เพียงพอส่งมอบตามที่ตกลงกัน จำเลยยินยอมให้ผู้ร้องจัดหาไม้จากสวนป่าอื่นมาส่งมอบได้ จำเลย
จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนย้ายไม้สักออกจากสวนป่าเองทั้งสิ้น โดยผู้ร้องจะอำนวยความสะดวกในการขออนุญาตต่อกรมป่าไม้เพื่อนำไม้สักนี้ส่งออกนอกราชอาณาจักร จำเลยไม่ติดใจดำเนินคดีแก่ผู้ร้องกับพวกที่ถูกฟ้องในคดีนี้และในคดีอื่นตามที่ระบุรายละเอียดไว้ จำเลยจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายรวมทั้งค่าเสียหายที่เกิดแก่บุคคลภายนอก ได้แก่ ค่าเสียหายที่จำเลยผิดนัดต่อลูกค้า ค่าระวางการขนส่งสินค้า และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จะเห็นได้ว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำพิพากษาตามยอมนี้ มีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน
ซึ่งผู้ร้องและจำเลยต่างมีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อกัน ถือว่าผู้ร้องและจำเลยต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้
ตามคำพิพากษาแล้ว ส่วนที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอหมายบังคับคดีของจำเลย และให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่จำเลย ก็เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวอ้างว่าอีกฝ่ายผิดนัดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว และต่างก็ขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นการกล่าวอ้าง
และโต้แย้งกันให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า ผู้ร้องหรือจำเลย
ซึ่งต่างเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญา
และการค้าระหว่างประเทศกลางไต่สวนแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดไม่ปฏิบัติตาม
สัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เป็นการวินิจฉัยในชั้นบังคับคดีว่า จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้
ตามคำพิพากษาตามยอมไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา จึงได้มีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดี
แก่จำเลยดังกล่าว ดังนั้น ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่มีสิทธิยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์
ในคดีนี้แล้ว ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยมาชอบแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อต่อไปของโจทก์ว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เกินระยะเวลาตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างผู้ร้องกับจำเลยซึ่งศาลทรัพย์สิน
ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้มีคำพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าว มีลักษณะ
เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่กำหนดให้ผู้ร้องและจำเลยมีหนี้หรือหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติต่อกันดังกล่าวแล้ว
หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามที่ตกลงกัน อีกฝ่ายหนึ่งก็อาจไม่ยอมชำระหนี้ตอบแทนได้
เมื่อมีข้อพิพาทโดยแต่ละฝ่ายต่างยื่นคำร้องขอให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่าง
ประเทศกลางออกหมายบังคับคดีแก่อีกฝ่ายโดยกล่าวอ้างและโต้แย้งว่าอีกฝ่ายผิดนัดไม่ปฏิบัติตาม
สัญญาประนีประนอมยอมความ แสดงว่าในขณะนั้นข้อเท็จจริงยังไม่ยุติว่าในที่สุดจะต้องบังคับคดีแก่
ผู้ร้องหรือจำเลยเนื่องจากยังโต้แย้งกันอยู่ จนกระทั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่าง
ประเทศกลางได้ไต่สวนพยานหลักฐานและวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดไม่ปฏิบัติ
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ กับมีคำสั่งให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับคดีแก่จำเลยเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๙ ถือได้ว่าผู้ร้องอาจบังคับคดีแก่จำเลยได้ในวันที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งนั้นเอง และเมื่อนับถึงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ อันเป็นวันที่ผู้ร้อง
ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในคดีนี้ ยังไม่เกินระยะเวลา ๑๐ ปี ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สิน
ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๒๖ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๔
ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ได้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ภายในกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายแล้วนั้น ศาลอุทธรณ์
คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางยังไม่ได้มีคำสั่งในเรื่อง
ค่าฤชาธรรมเนียม ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นสมควรมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมนี้
เสียให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองชั้นศาลให้เป็นพับ.
(ตุล เมฆยงค์ - สุรพล คงลาภ - ปรานี เสฐจินตนิน)
อมรชัย ศิริถาพร - ย่อ
กลอน รักษา - ตรวจ