คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 12/2566 บริษัทบริหารสินทรัพย์ อินเตอร์ แคปปิตอล
อลิอันซ์ จำกัด โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์
มหานคร จำกัด ผู้เข้าสวมสิทธิ โจทก์
บริษัทบริหารสินทรัพย์ อินเตอร์ แคปปิตอล
อลิอันซ์ จำกัด โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์
มหานคร จำกัด ผู้เข้าสวมสิทธิ เจ้าหนี้
ห้างหุ้นส่วนจำกัด เพียรกุศล จำเลย
ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๕
พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๔
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔
มูลหนี้ที่เจ้าหนี้นำมายื่นคำขอรับชำระหนี้ นอกจากจะเป็นมูลหนี้ซึ่งเจ้าหนี้เดิมนำมาฟ้องลูกหนี้จนศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาดแล้ว เจ้าหนี้เดิมยังได้นำ
หนี้ดังกล่าวไปฟ้องลูกหนี้ นาย อ. และนาง ว. เป็นคดีแพ่ง จนศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ลูกหนี้
และจำเลยร่วมในคดีแพ่งร่วมกันชำระหนี้ดังกล่าว ลูกหนี้จึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาดังกล่าว
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๕ ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย
พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ ลูกหนี้จะมาโต้แย้งเพื่อให้ศาลรับฟังเป็นอย่างอื่นอีกหาได้ไม่ ส่วนที่ลูกหนี้อุทธรณ์ว่า ในการทำความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ต้อง
ถูกผูกพันตามคำพิพากษาที่เจ้าหนี้นำมายื่นคำขอรับชำระหนี้ เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
มิใช่คู่ความในคดีดังกล่าว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะสอบสวนและทำความเห็น
ตามพยานหลักฐานต่อไปนั้น แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมิใช่คู่ความในคดีแพ่ง และไม่ต้อง
ถูกผูกพันตามคำพิพากษาในคดีแพ่ง แต่เมื่อลูกหนี้ได้ถูกฟ้องในคดีแพ่งและได้ต่อสู้คดี คำพิพากษา
ในคดีแพ่งย่อมผูกพันลูกหนี้และไม่ปรากฏเหตุที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องดำเนินการสอบสวนอีก
การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำความเห็นเสนอศาลล้มละลายกลางให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้
ตามคำพิพากษาศาลฎีกาจึงชอบแล้ว
______________________________
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาด
เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๘๐๘/๒๕๕๒ เป็นเงินจำนวน ๘,๖๓๑,๘๔๒.๕๖ บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกัน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๖ (๓) อันมีทรัพย์หลักประกัน คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๔๖๖๖ ตำบลปูคา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๖๗๒๒, ๓๖๗๓๔, ๓๖๗๓๖, ๓๖๗๔๐, ๓๖๗๕๔ ตำบลสันกลาง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง
มีชื่อนางวีรพรรณ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาเจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำขอรับชำระหนี้จากเจ้าหนี้
มีประกันตามมาตรา ๙๖ (๓) เป็นเจ้าหนี้ไม่มีประกัน ตามมาตรา ๙๔ เนื่องจากทรัพย์หลักประกันไม่ใช่ของลูกหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งอนุญาต
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ให้บรรดาเจ้าหนี้และลูกหนี้ ตรวจคำขอรับชำระหนี้
ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๐๔ แล้ว มีลูกหนี้ นายอุดมเกียรติ เจ้าหนี้รายที่ ๗ นางวีรพรรณ เจ้าหนี้รายที่ ๔ และนายพิภพ เจ้าหนี้รายที่ ๖ โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้ แต่เนื่องจากเจ้าหนี้รายที่ ๔ ที่ ๖ และที่ ๗ ยื่นคำโต้แย้งคัดค้านคำขอรับชำระหนี้เมื่อพ้นกำหนดเวลา ๗ วัน นับแต่
วันนัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงยกคำร้องโต้แย้งคัดค้านดังกล่าว
ระหว่างสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ บริษัทบริหารสินทรัพย์ มหานคร จำกัด ยื่นคำร้อง
ขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้แทนบริษัทบริหารสินทรัพย์ อินเตอร์ แคปปิตอล อลิอันซ์ จำกัด
ตามพระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๗ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
มีคำสั่งอนุญาต
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นควรให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้
ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๘๐๘/๒๕๕๒ ประกอบคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ คดีหมายเลขแดงที่ ๙๘๙/๒๕๕๖ และคำพิพากษาฎีกาที่ ๗๖๔๕/๒๕๕๙ จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้เป็นเงินจำนวน ๘,๖๓๑,๘๔๒.๕๖ บาท เต็มตามขอ ในฐานะเจ้าหนี้ไม่มีประกัน
ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙๔ โดยให้ได้รับชำระหนี้โดยส่วนเฉลี่ยอย่างเจ้าหนี้สามัญตามมาตรา ๑๓๐ (๗) โดยมีเงื่อนไขว่า หากเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดที่ดิน
โฉนดเลขที่ ๒๔๖๖๖ ตำบลปูคา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๖๗๒๒, ๓๖๗๓๔, ๓๖๗๓๖, ๓๖๗๔๐ และ ๓๖๗๕๔ ตำบลสันกลาง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้าง มีชื่อนางวีรพรรณ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และได้รับชำระหนี้จากนายอุดมเกียรติ และ/หรือนางวีรพรรณ จำเลยร่วมในคดีแพ่งไปแล้วเป็นเงินจำนวนเท่าใดให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในคดีล้มละลายนี้ลดลงเพียงนั้น
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
ลูกหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า
ก่อนศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาดในคดีนี้ ลูกหนี้เป็นหนี้เจ้าหนี้
ตามคำพิพากษาศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๘๐๘/๒๕๕๒ ระหว่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์ อินเตอร์ แคปปิตอล อลิอันซ์ จำกัด ผู้เข้าสวมสิทธิแทนโจทก์ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เพียรกุศล ที่ ๑ นายอุดมเกียรติ ที่ ๒ นางวีรพรรณ ที่ ๓ จำเลย ซึ่งศาล
มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๒ โดยพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๖,๙๔๙,๐๔๑.๐๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๕,๔๔๖,๕๘๖.๑๘ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
หากไม่ชำระให้ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๔๖๖๖ ตำบลปูคา อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๖๗๒๒, ๓๖๗๓๔, ๓๖๗๓๖, ๓๖๗๔๐ และ ๓๖๗๕๔ ตำบลสันกลาง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอให้บังคับทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๑๕,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๕ พิพากษายืน ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ไว้เด็ดขาดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ในคดีแพ่งจำเลยทั้งสามฎีกา ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ยกฎีกาของลูกหนี้ในคดีนี้ เนื่องจากลูกหนี้
ได้ยื่นฎีกาในขณะที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว และพิพากษา
แก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๖,๖๔๙,๐๔๑.๐๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยกรณีลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้หรือผิดเงื่อนไขตามสัญญาตามประกาศของโจทก์ฉบับที่โจทก์จะประกาศต่อ ๆ ไปตามช่วงเวลาที่ประกาศดังกล่าวแต่ละฉบับมีผลใช้บังคับ แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๕,๔๔๖,๕๘๖.๑๘ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๐) เป็นต้นไปจนกว่า
จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามคำแก้อุทธรณ์ของเจ้าหนี้ว่า ลูกหนี้ได้ยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไว้เด็ดขาดเมื่อวันที่
๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ อันเป็นคดีที่ได้ยื่นฟ้องไว้ก่อนวันที่พระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ๘)
พ.ศ. ๒๕๕๘ ใช้บังคับ และสำนวนคดียังค้างอยู่ระหว่างปฏิบัติการในชั้นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
จึงต้องบังคับตามมาตรา ๑๕ ของพระราชบัญญัติดังกล่าวซึ่งบัญญัติว่า “บรรดาคดีล้มละลายที่ได้ยื่นฟ้องก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และยังคงค้างพิจารณาอยู่ในศาลหรืออยู่ในระหว่างปฏิบัติการ
ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ให้บังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งใช้อยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ” ซึ่งตามบทบัญญัติพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓
มาตรา ๑๐๕ (เดิม) บัญญัติว่า “ในการตรวจคำขอรับชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจออกหมายเรียกเจ้าหนี้ ลูกหนี้ หรือบุคคลใดมาสอบสวน
ในเรื่องหนี้สิน แล้วทำความเห็นส่งสำนวนเรื่องหนี้สินที่ขอรับชำระนั้นต่อศาล พร้อมทั้งรายงานว่า
มีผู้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ประการใดหรือไม่” มาตรา ๑๐๖ (เดิม) บัญญัติว่า “คำขอรับชำระหนี้รายใด ถ้าลูกหนี้ เจ้าหนี้หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้โต้แย้ง ศาลมีอำนาจสั่งอนุญาตให้รับชำระหนี้ได้
เว้นแต่มีเหตุอันสมควรสั่งเป็นอย่างอื่น” และมาตรา ๑๐๗ (เดิม) บัญญัติว่า “คำขอรับชำระหนี้รายใด
ถ้ามีผู้โต้แย้ง ให้ศาลพิจารณา แล้วมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (๑) ให้ยกคำขอรับชำระหนี้
(๒) อนุญาตให้ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน (๓) อนุญาตให้ได้รับชำระหนี้บางส่วน” เช่นนี้การที่
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำความเห็นเสนอศาลและศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งสำนวนคำขอรับ
ชำระหนี้ว่า อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ต่อมา
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งคำสั่งของศาลล้มละลายกลางให้ลูกหนี้ทราบเป็นการปฏิบัติ
ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๐๕ (เดิม) มาตรา ๑๐๖ (เดิม) และมาตรา ๑๐๗ (เดิม) กรณีหาใช่เป็นการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งในสำนวนคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๐๖ (ที่แก้ไข) ไม่ เมื่อลูกหนี้ได้รับหมายแจ้งคำสั่งศาลในวันที่
๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๕ ลูกหนี้ยื่นอุทธรณ์วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๕ จึงเป็นการยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดแล้ว คำแก้อุทธรณ์ของเจ้าหนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของลูกหนี้ต่อไปว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำสั่ง
ของศาลล้มละลายกลางหรือไม่ เห็นว่า มูลหนี้ที่เจ้าหนี้นำมายื่นคำขอรับชำระหนี้ นอกจากจะเป็นมูลหนี้
ซึ่งเจ้าหนี้เดิมนำมาฟ้องลูกหนี้จนศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว เจ้าหนี้เดิม
ยังได้นำหนี้ดังกล่าวไปฟ้องลูกหนี้ นายอุดม นางวีรพรรณ เป็นคดีแพ่ง จนศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ลูกหนี้
และจำเลยร่วมในคดีแพ่งร่วมกันชำระหนี้ดังกล่าว ลูกหนี้จึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาดังกล่าว
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๔ ลูกหนี้จะมาโต้แย้งเพื่อให้ศาลรับฟังเป็นอย่างอื่นอีกหาได้ไม่ ส่วนที่ลูกหนี้อุทธรณ์ว่า ในการทำความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาที่เจ้าหนี้นำมายื่นคำขอรับชำระหนี้ เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิใช่คู่ความในคดีดังกล่าว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะสอบสวนและทำความเห็น
ตามพยานหลักฐานต่อไป เห็นว่า แม้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมิใช่คู่ความในคดีแพ่ง และไม่ต้อง
ถูกผูกพันตามคำพิพากษาในคดีแพ่ง แต่เมื่อลูกหนี้ได้ถูกฟ้องในคดีแพ่งและได้ต่อสู้คดี คำพิพากษา
ในคดีแพ่งย่อมผูกพันลูกหนี้และไม่ปรากฏเหตุที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องดำเนินการสอบสวนอีก การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำความเห็นเสนอศาลล้มละลายกลางให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้
ตามคำพิพากษาศาลฎีกาจึงชอบแล้ว ส่วนที่ลูกหนี้อุทธรณ์ว่า นายอุดมเกียรติได้ชำระหนี้ให้แก่
เจ้าหนี้จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่ปรากฏว่าเจ้าหนี้นำมาหักชำระภาระหนี้นั้น เห็นว่า คดีนี้
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ การที่
นายอุดมเกียรติได้ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว
เป็นกรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องนำไปคิดคำนวณหักออกจากจำนวนหนี้ที่เจ้าหนี้มีสิทธิ
ได้รับชำระหนี้ในชั้นทำบัญชีรับจ่ายเพื่อแบ่งเฉลี่ยทรัพย์สิน ตามเงื่อนไขในคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของลูกหนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.
(เอื้อน ขุนแก้ว - ศักดิ์เสถียร สวนสุข - วาสนา บุญทรงสันติกุล)
ภารดี เพ็ญเจริญ - ย่อ
สุรัชฎ์ เตชัสวงศ์ - ตรวจ