คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 56/2565 บริษัทบี วิน ๙๘๘๙ จำกัด หรือ บริษัทโมเดิร์น เทจ เฮาส์แอนด์ดีไซน์ จำกัดโจทก์
นายธราพงษ์ สุขะอาคม กับพวก จำเลย
พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙ (๓)
แม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะกำหนดจำนวนเงินค่าเสียหายไว้แน่นอนหากผิดสัญญาจำเลยทั้งสองจะชดใช้เงินเป็นจำนวน ๒๐,๘๕๕,๑๑๔.๖๔ บาท แต่หนี้ที่จะต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวจะเกิดขึ้นต่อเมื่อจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งข้อเท็จจริงเพียงว่าศาลแรงงานภาค ๖ ออกหมายบังคับคดียังไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและมีหนี้เงินที่ต้องชำระเงินให้แก่โจทก์ เพราะจำเลยทั้งสองยังโต้แย้งว่าตนมิได้ผิดสัญญาและขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีอยู่ ปัญหาว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วหรือไม่เป็นประเด็นที่ยังโต้แย้งกันอยู่ในชั้นบังคับคดี ดังจะเห็นได้จากรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานภาค 6 ที่แม้จำเลยทั้งสองจะถอนคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีแต่ก็ยังแถลงยืนยันว่าตนไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ และหากฝ่ายโจทก์จะดำเนินการบังคับคดี ฝ่ายจำเลยทั้งสองก็จะโต้แย้งคัดค้านในภายหลัง ข้อโต้แย้งดังกล่าวเป็นเรื่องที่คู่ความจะต้องไปดำเนินการที่ศาลแรงงานภาค 6 ซึ่งเป็นศาลที่ออกหมายบังคับคดี เพื่อให้ได้ข้อยุติก่อนว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ในชั้นนี้หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงยังไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙ (๓) โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายไม่ได้
_____________________________
โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยให้หักจากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2561 โจทก์ กับจำเลยทั้งสองและนางผาสุข ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันที่ศาลแรงงานภาค 6 ตกลงให้จำเลยทั้งสองประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 2 ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร และนครสวรรค์เท่านั้น โดยใช้สถานที่ประกอบกิจการหลักอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก และจะไม่เปิดสาขาในจังหวัดพิจิตร สุโขทัย ตาก กำแพงเพชร และนครสวรรค์อีก จำเลยทั้งสองตกลงจะหยุดประกอบกิจการที่สาขาขอนแก่นมีกำหนด 5 ปี นับแต่วันทำสัญญา ซึ่งศาลแรงงานภาค 6 ได้พิพากษาตามยอม ต่อมาวันที่ 25 มิถุนายน 2562 โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความขอให้ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลแรงงานภาค 6 ออกหมายบังคับคดีให้ในวันดังกล่าว ต่อมาวันที่ 2 มิถุนายน 2563 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีโดยอ้างว่าไม่ได้กระทำผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลแรงงานภาค 6 นัดไต่สวนในวันที่ 21 กรกฎาคม 2563 เมื่อถึงวันนัดจำเลยทั้งสองแถลงยืนยันว่าไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ และขอถอนคำร้องขอเพิกถอนหมายบังคับคดีโดยแถลงว่าหากโจทก์ดำเนินการบังคับคดี ฝ่ายจำเลยทั้งสองจะโต้แย้งคัดค้านต่อศาลในภายหลัง ศาลแรงงานภาค 6 อนุญาตให้ถอนคำร้องได้โดยกำชับฝ่ายโจทก์ว่าหากจะมีการบังคับคดีโดยกล่าวอ้างว่ามีการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความในข้อใดข้อหนึ่ง ต้องดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย ต่อมาวันที่ 9 กันยายน 2563 โจทก์จึงมาฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางเป็นคดีนี้ขอให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องลงวันที่ 2 เมษายน 2564 ต่อศาลแรงงานภาค ๖ ขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีอีกครั้ง ซึ่งศาลแรงงานภาค 6 นัดไต่สวนวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 ก่อนถึงวันนัดศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2564 คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์อันอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนแล้วหรือไม่ เห็นว่า แม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะกำหนดจำนวนเงินค่าเสียหายไว้แน่นอนหากผิดสัญญาจำเลยทั้งสองจะชดใช้เงินเป็นจำนวน ๒๐,๘๕๕,๑๑๔.๖๔ บาท แต่หนี้ที่จะต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวจะเกิดขึ้นต่อเมื่อจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งข้อเท็จจริงเพียงว่าศาลแรงงานภาค ๖ ออกหมายบังคับคดียังไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและมีหนี้เงินที่ต้องชำระให้แก่โจทก์ เพราะจำเลยทั้งสองยังโต้แย้งว่าตนมิได้ผิดสัญญาและขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีอยู่ ปัญหาว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วหรือไม่เป็นประเด็นที่ยังโต้แย้งกันอยู่ในชั้นบังคับคดี ดังจะเห็นได้จากรายงานกระบวนพิจารณาของศาลแรงงานภาค 6 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2563 ที่แม้จำเลยทั้งสองจะถอนคำร้องขอให้เพิกถอนหมายบังคับคดีแต่ก็ยังแถลงยืนยันว่าตนไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ และหากฝ่ายโจทก์จะดำเนินการบังคับคดี ฝ่ายจำเลยทั้งสองก็จะโต้แย้งคัดค้านในภายหลัง ข้อโต้แย้งดังกล่าวเป็นเรื่องที่คู่ความจะต้องไปดำเนินการที่ศาลแรงงานภาค 6 ซึ่งเป็นศาลที่ออกหมายบังคับคดี เพื่อให้ได้ข้อยุติก่อนว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่ ในชั้นนี้หนี้ตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงยังไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๙ (๓) โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายไม่ได้ ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสองมาไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลเป็นพับ.
(เพชรน้อย สมะวรรธนะ – สถาพร วิสาพรหม – เกียรติคุณ แม้นเลขา)
รติมา ชัยสุโรจน์ - ย่อ
วิรัตน์ วิศิษฏ์วงศกร - ตรวจ