คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 1687/2562 นายสิงห์สถิต เกรียงโรจน์กุล โจทก์
บริษัทสินทรัพย์ประกันภัย จำกัด
(มหาชน) กับพวก จำเลย
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5
พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 20
ค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 จ่ายด้วยวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการจูงใจในการทำงานของลูกจ้างที่ทำหน้าที่ฝ่ายการตลาดรวมถึงโจทก์ให้ทำยอดขายให้มากขึ้นไม่ใช่จ่าย
เพื่อตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้าง ค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดย่อมมิใช่ค่าจ้างตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 5 ที่จำเลยที่ 1 เปลี่ยนแปลงอัตราการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดในส่วนเฉพาะกับโจทก์จากร้อยละ 0.1 เหลือเพียงร้อยละ 0.05 แม้จะเป็น
การเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง แต่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงด้วยว่าโจทก์ไม่ได้โต้แย้งหรือทักท้วง และยังยอมรับโดยขอเบิกค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดในอัตราที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าวตลอดมาจนกระทั่งโจทก์ถูกเลิกจ้างนับเป็นเวลากว่าสองปีตามเอกสารขอเบิกค่าตอบแทนสำหรับ
ฝ่ายการตลาดพิมพ์จากจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ตกลงโดยปริยาย
ให้จำเลยที่ 1 เปลี่ยนแปลงอัตราการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดดังกล่าวได้ ย่อมมีผลผูกพันใช้บังคับแก่โจทก์ได้
______________________________
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๔๕๙,๒๕๕ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันผิดนัด โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ยี่ห้อ MERCEDES BENZ
รุ่น C ๒๒๐ CDI ให้แก่โจทก์ รับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าเดิม จ่ายค่าเสียหายตั้งแต่วันที่เลิกจ้างจนถึงวันที่รับโจทก์กลับเข้าทำงาน จ่ายค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดปี ๒๕๕๘ ถึงปี ๒๕๖๐ เป็นเงิน ๑,๔๕๔,๑๕๘.๔๘ บาท ค่าจ้างค้างจ่าย ๕๔๐,๐๓๐ บาท ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒๗๐,๑๕๐ บาท ค่าชดเชย ๒,๗๐๑,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี และเงินเพิ่มร้อยละ ๑๕ ของเงินส่วนที่ผิดนัดค้างจ่ายทุกระยะเวลา ๗ วัน ค่าน้ำมันรถยนต์หรือค่ายานพาหนะ ๑๗๐,๔๓๒ บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๖๔,๘๓๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ
๗.๕ ต่อปี นับแต่วันผิดนัด จนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าขาดประโยชน์จากเงินประกันการว่างงาน ๖๐,๐๐๐ บาท ออกหนังสือรับรองการทำงาน และจ่ายค่าเสียหายวันละ ๒,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๐ จนกว่าจะออกหนังสือรับรองการผ่านงาน กับให้จำเลยที่ ๔ จ่ายค่าสมทบและผลประโยชน์ ๔๗๙,๗๔๘.๕๑ บาท และเงินสะสมและผลประโยชน์ ๒๘๗,๘๔๘ บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์ส่งมอบรถยนต์ตามฟ้องในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีคืนแก่จำเลยที่ ๑ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน ๒,๔๗๕,๐๐๐ บาท แก่จำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง
ที่ไม่เป็นธรรม ๑,๕๐๑,๕๐๐ บาท เงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินสมทบในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ๔๗๙,๗๔๘.๕๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๓๐,๐๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว ให้โจทก์คืนรถยนต์
ยี่ห้อ MERCEDES BENZ รุ่น C ๒๒๐ CDI ให้แก่จำเลยที่ ๑ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา ๘๘๗,๒๖๐ บาท
ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๔ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการประกันวินาศภัย
มีจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน จำเลยที่ ๔ เป็นนิติบุคคล โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ และเป็นสมาชิกของจำเลยที่ ๔ โจทก์เคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ
จำเลยที่ ๑ สายงานการตลาด มีหน้าที่จัดหาลูกค้าทำประกันภัยกับจำเลยที่ ๑ ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเป็นเงินเดือนเดือนละ ๑๑๓,๔๐๐ บาท และค่าที่ปรึกษาสินไหมเดือนละ ๓๖,๗๕๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๒๗ ของเดือน เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์อ้างว่า
การบริหารงานของโจทก์ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้มีรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้
ประสบภาวะขาดทุน ถือเป็นการกระทำที่ไม่รักษาผลประโยชน์ของจำเลยที่ ๑ ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ตามหนังสือเลิกจ้าง จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากค่าจ้างและค่าที่ปรึกษาสินไหมให้แก่โจทก์แล้ว โดยไม่นำค่าน้ำมันรถ ค่าเลี้ยงรับรอง และค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดมารวมคิดคำนวณ รถยนต์ตามฟ้อง จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อมาเป็นรถประจำตำแหน่งของโจทก์ ซึ่งโจทก์มีส่วนชำระค่าเช่าซื้อ ๗๗๑,๑๓๙ บาท โจทก์ยังคงครอบครองรถยนต์หลังจาก
จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์ จำเลยที่ ๔ ส่งเงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินสมทบ ๔๗๙,๗๔๘.๕๑ บาท คืนให้แก่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ออกหนังสือรับรองการทำงานให้แก่โจทก์รับไปแล้ว
แล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นค่าน้ำมันรถ ค่าเลี้ยงรับรอง และค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดจะถือเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
หรือไม่ว่า การเบิกค่าน้ำมันรถโจทก์ยังต้องใช้ใบเสร็จรับเงินในการขอเบิก โดยมีการกำหนดเงื่อนไขว่า
โจทก์สามารถเบิกค่าน้ำมันรถได้ไม่เกินเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท มิได้มีลักษณะเหมาจ่ายโดยไม่ต้องดูใบเสร็จรับเงิน และมิได้เหมาจ่ายให้แก่โจทก์เป็นประจำ ค่าน้ำมันจึงรถไม่ใช่ค่าจ้าง ส่วนค่าเลี้ยงรับรอง โจทก์มีข้อตกลงกับนายสมนึกให้นำใบเสร็จรับเงินมาเบิกจากจำเลยที่ ๑ ในนามของนายสมนึก
โดยจำเลยที่ ๑ จะจ่ายในนามนายสมนึกตามที่จ่ายจริง มิได้มีข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑
ค่าเลี้ยงรับรองจึงไม่ใช่ค่าจ้าง และค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดเป็นเงินที่จำเลยที่ ๑ จ่ายให้แก่เฉพาะลูกจ้างที่ทำหน้าที่ฝ่ายการตลาดอัตราร้อยละ ๐.๑ จากยอดขายของฝ่ายในแต่ละเดือน
ซึ่งไม่แน่นอน ไม่ใช่เงินที่โจทก์และจำเลยที่ ๑ ตกลงจ่ายเป็นค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญา
แต่เป็นเงินที่จำเลยที่ ๑ จ่ายเพื่อเป็นการจูงใจในการทำงาน ค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดจึงไม่ใช่ค่าจ้าง จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าถูกต้องครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อีก ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างค้างจ่าย
พร้อมดอกเบี้ยและเงินเพิ่มจากจำเลยที่ ๑ หรือไม่ เพียงใด ว่า ที่โจทก์ฟ้องอ้างว่า ยังคงมีเงินอื่นนอกจากเงินเดือนและค่าที่ปรึกษาสินไหมอันเป็นค่าจ้างที่จำเลยที่ ๑ ยังค้างจ่ายแก่โจทก์ แต่เมื่อเงินเดือน
และค่าที่ปรึกษาสินไหมเท่านั้นที่เป็นค่าจ้าง และจำเลยที่ ๑ จ่ายให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าจ้างค้างจ่ายพร้อมดอกเบี้ยและเงินเพิ่มตามฟ้องจาก
จำเลยที่ ๑ อีก ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นโจทก์ต้องส่งมอบรถยนต์ประจำตำแหน่งคืนแก่
จำเลยที่ ๑ หากไม่คืนต้องชดใช้ราคาแทนตามฟ้องแย้งหรือไม่ ว่า การที่โจทก์จะได้รับสิทธิเป็นลำดับแรกในการซื้อรถยนต์ประจำตำแหน่ง ต้องเป็นกรณีที่จำเลยที่ ๑ ต้องการจำหน่ายหรือขาย หากจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องการจำหน่าย สิทธิในการซื้อรถยนต์ของโจทก์ไม่อาจมีได้ เมื่อจำเลยที่ ๑ ใช้สิทธิทวงถามให้โจทก์คืนรถยนต์ จึงถือว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ประสงค์จะจำหน่ายรถยนต์ โจทก์ไม่อาจใช้สิทธิซื้อรถยนต์คันดังกล่าว ต้องส่งมอบรถยนต์คืนแก่จำเลยที่ ๑ หากคืนไม่ได้จึงต้องใช้ราคาแทน แต่โจทก์มีส่วนในการชำระค่าเช่าซื้อส่วนต่าง มิใช่จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อแต่เพียงฝ่ายเดียว การคิดคำนวณราคารถยนต์กรณีโจทก์
คืนรถยนต์แก่จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ จึงต้องนำมาคำนวณหักบางส่วนให้แก่โจทก์ แต่ที่โจทก์คิดคำนวณ
โดยนำเงินส่วนต่างที่จำเลยที่ ๑ หักไปจากเงินเดือนโจทก์แล้ว ๗๗๑,๑๓๙ บาท มาหักจากราคารถยนต์ในปัจจุบันไม่ถูกต้อง จึงต้องคำนวณตามสัดส่วนของราคารถยนต์ที่เสื่อมราคาลงตั้งแต่ขณะเมื่อมีการทำสัญญาเช่าซื้อและราคารถยนต์ขณะที่โจทก์ถูกเลิกจ้าง ซึ่งจำนวนเงินที่โจทก์ชำระบางส่วนจึงต้องลดลงตามสัดส่วนเช่นเดียวกัน เมื่อคิดคำนวณแล้ว โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องชำระราคากรณีโจทก์คืนรถยนต์
แก่จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ให้แก่จำเลยที่ ๑ อีก ๘๘๗,๒๖๐ บาทศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นการเลิกจ้างโจทก์จะถือเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้าง
ที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เพียงใด ว่า จำเลยที่ ๑ ประสบปัญหาขาดทุนสะสม จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวลูกจ้างระดับบริหารที่รับผิดชอบฝ่ายการตลาดและสินไหมทดแทน มีการเรียกโจทก์เข้าไปพบเพื่อเจรจาตกลงเกี่ยวกับการเลิกจ้าง แต่ไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับเงินค่าชดเชยตามที่โจทก์เรียกร้อง จึงมี
การเลิกจ้างโจทก์ในเวลาต่อมา ซึ่งสาเหตุในการเลิกจ้างว่าโจทก์ไม่สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายทางธุรกิจนั้น แม้จะเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพในการทำงานของโจทก์ แต่ไม่ถึงกับเป็นการกระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรง หากจำเลยที่ ๑ เห็นว่าโจทก์ปฏิบัติงานไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง ก็อาจสับเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ได้ แต่จำเลยที่ ๑ กลับเลือกใช้วิธีเลิกจ้างแทน
เหตุที่จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์จึงเป็นเหตุไม่สมควร อันเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยที่ ๑
กับโจทก์ไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามฟ้อง
แต่เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหาย ๑,๕๐๑,๕๐๐ บาท และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยประเด็นโจทก์มีสิทธิเรียกค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาด ร้อยละ ๐.๑ ของยอดขายหรือไม่ ว่า ค่าตอบแทนสำหรับ
ฝ่ายการตลาดมิใช่ค่าตอบแทนในการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน แต่เป็นเงินที่จำเลยที่ ๑ จ่ายให้แก่ลูกจ้างโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการจูงใจในการทำงาน ค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดจึงไม่ใช่ค่าจ้าง การเปลี่ยนแปลงค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดจึงเป็นอำนาจในทางบริหารของจำเลยที่ ๑
ที่จะใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อจูงใจในการทำงานของลูกจ้าง โดยเฉพาะโจทก์ซึ่งมีตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการเพียงคนเดียว โดยจำเลยที่ ๑ เปลี่ยนแปลงอัตราค่าตอบแทนแปรผันตามยอดขาย หากฝ่ายการตลาดทำยอดขายต่อเดือนไม่ถึง ๘๐ ล้านบาท โจทก์ไม่ขอรับค่าตอบแทน หากยอดขายต่อเดือน ๘๐ ถึง ๘๕ ล้านบาท โจทก์จะได้รับร้อยละ ๐.๐๕ หากยอดขายต่อเดือน ๘๕ ถึง ๙๐ ล้านบาท โจทก์จะได้รับร้อยละ ๐.๐๗๕ หากยอดขายต่อเดือน ๙๐ ถึง ๑๐๐ ล้านบาท โจทก์ก็จะได้รับค่าตอบแทน
ในอัตราเดิม คือ ร้อยละ ๐.๑ และหากทำยอดขายได้เกิน ๑๐๐ ล้านบาท โจทก์ก็จะได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๐.๑๒๕ ตามสำเนาบันทึกภายใน ผลเกิดจากโจทก์ไม่สามารถเพิ่มยอดขายได้
ตามเป้าหมายทางธุรกิจ ประกอบกับโจทก์ยอมรับการเบิกค่าค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดในอัตราดังกล่าวมาตลอดโดยมิได้โต้แย้งหรือทักท้วงตามเอกสารขอเบิกค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาด
พิมพ์จากจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ แสดงว่าโจทก์ยอมรับค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดที่จำเลยที่ ๑ เปลี่ยนแปลงโดยปริยาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดร้อยละ ๐.๑
ของยอดขายในทุกกรณีได้อีก ส่วนที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒๕๕๘ และปี ๒๕๕๙ และเงินเพิ่ม แต่กำหนดให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ๒๕๖๐ รวม ๖ วัน เป็นเงิน ๓๐,๐๓๐ บาท และเงินสมทบและผลประโยชน์ ๔๗๙,๗๔๘.๕๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ แต่จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งไม่ต่ำกว่าเดิมและไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายตั้งแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับโจทก์กลับเข้าทำงาน และไม่กำหนดค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ ๑ ไม่ออกหนังสือรับรองการทำงาน กับโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดประโยชน์จากเงินประกันการว่างงานจากจำเลยที่ ๑ นั้น ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์โต้แย้ง จึงยุติไป
ตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าน้ำมันรถที่โจทก์สำรองจ่ายไปก่อนหรือไม่ เพียงใด ซึ่งศาลแรงงานกลางกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้แต่มิได้วินิจฉัย จึงเป็น
การไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงมาเพียงพอที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อนี้แล้ว เพื่อให้กระบวนพิจารณาเสร็จไปด้วยความรวดเร็ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นสมควรวินิจฉัยไป
โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยอีก เห็นว่า ข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณาของ
ศาลแรงงานกลางฟังยุติว่า การทำใบสำคัญจ่ายเงินสดย่อยเบิกเป็นค่าน้ำมันรถจะต้องมีใบเสร็จรับเงิน
มาแสดงประกอบด้วย โจทก์มีเพียงใบสำคัญจ่ายเงินสดย่อยโดยไม่มีใบเสร็จรับเงินมาแสดงเป็นหลักฐานประกอบ ดังนี้ จำเลยที่ ๑ มิได้ค้างชำระค่าน้ำมันรถตามฟ้องแก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้อง
ค่าน้ำมันรถตามฟ้องจากจำเลยที่ ๑
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าน้ำมันรถให้แก่โจทก์เดือนละไม่ต่ำกว่า ๑๕,๐๐๐ บาท
เป็นประจำทุกเดือนโดยไม่มีเงื่อนไข จึงเป็นค่าจ้าง นั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ มิได้เหมาจ่ายเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นประจำทุกเดือน โดยโจทก์ต้องใช้ใบเสร็จรับเงิน
ในการขอเบิก ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน
ของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้ง
ศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า นายสมนึก ประธานกรรมการบริหารซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ ๑ ตกลงจ่ายค่าเลี้ยงรับรองให้แก่โจทก์เดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท ถือเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
โดยปริยาย และจ่ายเป็นประจำ จึงเป็นค่าจ้าง นั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการยกข้อเท็จจริง
ขึ้นใหม่ เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษฟังข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาว่า โจทก์มีข้อตกลงกับนายสมนึก ให้นำใบเสร็จรับเงินมาเบิกจากจำเลยที่ ๑ ในนามของนายสมนึก
โดยจำเลยที่ ๑ จะจ่ายในนามนายสมนึกตามที่จ่ายจริง แต่มิได้มีข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑
จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา
คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ นำสืบค่าตอบแทนสำหรับ
ฝ่ายการตลาดนอกเหนือคำให้การ หรือไม่ เห็นว่า จำเลยให้การไว้ด้วยว่า เงินอื่น ๆ นอกเหนือ
จากเงินเดือน ไม่ใช่ค่าจ้าง ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๑ นำสืบว่า ค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดเป็นเงิน
ที่จำเลยที่ ๑ จ่ายให้เฉพาะลูกจ้างที่ทำหน้าที่การตลาดจากยอดขายของฝ่ายแต่ละเดือน ซึ่งไม่แน่นอน ไม่ใช่ค่าจ้าง จึงเป็นการนำสืบตรงตามประเด็นข้อต่อสู้ในคำให้การ เป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ส่วนข้อนำสืบว่าจำเลยเปลี่ยนแปลงอัตราค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดเป็นการเฉพาะในส่วน
ของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เป็นอัตราแปรผันตามยอดขายในแต่ละเดือน มิใช่อัตรา
ร้อยละ ๐.๑ ของยอดขายในทุกกรณี ก็เป็นการนำสืบเพื่อจะแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ไม่เคยค้างชำระค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดแก่โจทก์ ซึ่งต้องตามคำให้การแล้ว มิได้เป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การแต่ประการใด อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ติดตามยึดรถยนต์คืนจากโจทก์ แสดงว่าจำเลยที่ ๑ มีเจตนาให้โจทก์ได้สิทธิในการซื้อรถยนต์คันดังกล่าว นั้น เห็นว่า ประเด็นนี้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า การที่โจทก์จะได้รับสิทธิเป็นลำดับแรกในการซื้อรถยนต์ประจำตำแหน่ง ต้องเป็นกรณีที่จำเลยที่ ๑ ต้องการจำหน่าย เมื่อจำเลยที่ ๑ ใช้สิทธิทวงถามให้โจทก์คืนรถยนต์ ถือว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ประสงค์
จะจำหน่าย ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์เสนอขอซื้อรถยนต์จากจำเลยที่ ๑ โดยหักส่วนต่างแล้ว ในราคา ๕๑๘,๘๖๑ บาท การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์ชำระราคาให้แก่จำเลยที่ ๑ ๘๘๗,๒๖๐ บาท เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ประกอบกับจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ปฏิเสธจำนวนเงินที่โจทก์เสนอขอซื้อตามฟ้อง นั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้โจทก์คืนรถยนต์แก่จำเลยที่ ๑ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน ๘๘๗,๒๖๐ บาท เป็นไปตามฟ้องแย้ง หาได้พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ตามการเสนอซื้อของโจทก์แต่อย่างใดไม่ อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ตรงต่อความเป็นจริง แต่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงในสำนวน ถือเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การเลิกจ้างไม่มีมูลความจริง เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับ
ความเสียหายต่อชื่อเสียง หางานใหม่ได้ยากเพราะมีประวัติถูกเลิกจ้าง ซึ่งความเสียหายมีมากกว่า
ที่ศาลแรงงานกลางกำหนด ขอให้กำหนดค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๒,๒๕๒,๒๕๐ บาท นั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ เพื่อให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษฟังข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาในการกำหนดค่าเสียหายว่าโจทก์ไม่ได้รับความเดือดร้อน
จากการเลิกจ้าง ทั้งมูลเหตุแห่งการเลิกจ้างเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการทำงานของโจทก์ และความไว้วางใจของจำเลยที่ ๑ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดในการดำเนินธุรกิจของจำเลยที่ ๑ ทั้งจำเลยที่ ๑
ได้จ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ตามสิทธิอันพึงมีพึงได้แล้ว จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดเป็นค่าจ้างหรือไม่ และการที่จำเลยที่ ๑ เปลี่ยนแปลงอัตราการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดโดยเฉพาะ
กับโจทก์จากร้อยละ ๐.๑ เป็นร้อยละ ๐.๐๕ ของยอดขายมีผลผูกพันโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดเป็นเงินที่จำเลยที่ ๑ จ่ายด้วยวัตถุประสงค์
เพื่อเป็นการจูงใจในการทำงานของลูกจ้างที่ทำหน้าที่ฝ่ายการตลาดรวมถึงโจทก์ให้ทำยอดขายให้มากขึ้น ไม่ใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานตามสัญญาจ้าง ค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดย่อมมิใช่ค่าจ้าง
ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ และศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๑ เปลี่ยนแปลงอัตราการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดในส่วนเฉพาะกับโจทก์ดังกล่าว ดังนี้
แม้จะเป็นการเปลี่ยนสภาพการจ้าง แต่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงด้วยว่า โจทก์ไม่ได้โต้แย้ง
หรือทักท้วง และยังยอมรับโดยขอเบิกค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดในอัตราที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าวตลอดมาจนกระทั่งโจทก์ถูกเลิกจ้างนับเป็นเวลากว่าสองปีตามเอกสารขอเบิกค่าตอบแทนสำหรับ
ฝ่ายการตลาดพิมพ์จากจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ตกลงโดยปริยาย
ให้จำเลยที่ ๑ เปลี่ยนแปลงอัตราการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดดังกล่าวได้ การที่จำเลยที่ ๑ เปลี่ยนแปลงอัตราการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดโดยเฉพาะกับโจทก์จากร้อยละ ๐.๑
เหลือเพียงร้อยละ ๐.๐๕ ของยอดขายย่อมมีผลผูกพันใช้บังคับแก่โจทก์ได้ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ยอมรับอัตราการจ่ายค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดที่จำเลยที่ ๑ เปลี่ยนแปลงนี้โดยปริยาย
จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าตอบแทนสำหรับฝ่ายการตลาดอัตราร้อยละ ๐.๑ ในทุกกรณี ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า การบริหารงานการตลาดที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของโจทก์ไม่มีประสิทธิภาพ หย่อนความสามารถ มีผลทำให้จำเลยที่ ๑ ประสบภาวะขาดทุน ถือว่ามีเหตุจำเป็น
และสมควรเพียงพอที่จะเลิกจ้างโจทก์ มิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม นั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ยกเหตุที่จำเลยที่ ๑ ประสบภาวะขาดทุนขึ้น เพื่อให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษฟังข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากที่ศาลแรงงานกลางรับฟังมาว่า สาเหตุในการเลิกจ้างที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่า โจทก์ไม่สามารถ
ทำยอดขายได้ตามเป้าหมายทางธุรกิจนั้น แม้จะเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพในการทำงานของโจทก์
แต่ไม่ถึงกับเป็นการกระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานในกรณีร้ายแรง จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์
จึงเป็นเหตุไม่สมควร และเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ ๑ จ่ายค่าน้ำมันรถเสียด้วยนอกจาก
ที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.
(สาโรช ทาสวัสดิ์ – สุชาติ ตระกูลเกษมสุข – ดาราวรรณ ใจคำป้อ)
วิฑูรย์ ตรีสุนทรรัตน์ – ย่อ
สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ – ตรวจ