คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 1305/2562 นายธีรรักษ์  เพิ่มพร              โจทก์

                                                                         บริษัทชูศิลป์ กรุ๊ป เทรดดิ้ง

                                                                       จำกัด                              จำเลย

ป.พ.พ. มาตรา ๕๗๕

พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4)

         ศาลแรงงานภาค ๗ ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน เมื่อจำเลยได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จำเลยจึงจัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับ
การทำงานขึ้น เมื่อไม่ปรากฏว่ามีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับเดิม หรือในขณะที่จำเลยตกลงว่าจ้างโจทก์ให้มาทำงานเมื่อปี ๒๕๕๓ มีข้อตกลงในลักษณะอันเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ
ในการประกอบอาชีพบางประการของโจทก์ หรือมีข้อตกลงให้โจทก์โอนบรรดาผลงานทั้งหมดที่โจทก์สร้างสรรค์ให้ตกเป็นของจำเลย ดังเช่นที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างแรงงานข้อ ๑๓ ถึงข้อ ๑๕ ฉะนั้น การที่จำเลยนำสัญญาจ้างแรงงานซึ่งมีเงื่อนไขดังกล่าวมาให้โจทก์ลงลายมือชื่อ จึงถือเป็น
การเปลี่ยนแปลงข้อตกลงในการจ้างแรงงานที่แตกต่างไปจากเดิมซึ่งไม่เป็นคุณแก่โจทก์ กรณีถือไม่ได้ว่าการที่โจทก์ไม่ยอมลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างแรงงานเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลย คำสั่งของจำเลยไม่มีผลบังคับแก่โจทก์ หนังสือเตือนจึงไม่มี
สภาพบังคับเป็นหนังสือเตือนตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๔)
เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิด และไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ทั้งเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ถือเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม จำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมแก่โจทก์

______________________________

 

         โจทกฟองและแกไขคำฟอง ขอให้บังคับจําเลยจายคาชดเชย 168,000 บาท สินจางแทนการบอกกลาวลวงหนา 21,000 บาท และคาเสียหายจากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม 2,520,000 บาท พรอมดอกเบี้ยอัตรารอยละ 15 ตอป ของตนเงิน 2,709,000 บาท นับแตวันที่ 4 มกราคม 2561 เป็นต้นไป จนกวาจะชําระเสร็จแกโจทก

         จําเลยใหการ ขอใหยกฟ้อง

            ศาลแรงงานภาค 7 พิพากษาใหจําเลยจ่ายคาชดเชย 168,000 บาท พรอมดอกเบี้ยอัตรารอยละ 15 ต่อปี ของตนเงินดังกล่าว นับแตวันที่ 4 มกราคม 2561 เป็นต้นไป จนกวาจะชําระเสร็จแก่โจทก์ ชําระสินจางแทนการบอกกลาวลวงหนา 14,000 บาท และคาเสียหายจากการเลิกจางโดยไมเปนธรรม 150,000 บาท พรอมดอกเบี้ยอัตรารอยละ 7.5 ตอปี ของตนเงินแต่ละจำนวนดังกล่าว นับแตวันฟอง (ฟองวันที่ 9 เมษายน 2561) เปนต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแกโจทก

         จําเลยอุทธรณ

         ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 7 ฟงขอเท็จจริง
และวินิจฉัยวา ตาม พ.ร.บ. คุมครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 นายจางไมตองจายค่าชดเชย
ใหแกลูกจางซึ่งเลิกจางในกรณีฝาฝนขอบังคับเกี่ยวกับการทํางาน ระเบียบ หรือคําสั่งของนายจาง
อันชอบดวยกฎหมายและเปนธรรม และนายจางไดตักเตือนเปนหนังสือแลว เวนแตกรณีที่ร้ายแรง
นายจางไมจําตองตักเตือน ข้อเท็จจริงไดความว่า เดิมบริษัทจําเลยไมมีขอบังคับเกี่ยวกับการทํางาน
เจาหน้าที่กรมสวัสดิการและคุมครองแรงงาน จึงแนะนําใหทําขอบังคับเกี่ยวกับการทํางานและจัดทําสัญญาจางแรงงานเปนลายลักษณอักษร เมื่อจําเลยยังไมมีขอบังคับเกี่ยวกับการทํางาน กรณีของโจทก
จึงไมใชเปนเรื่องฝาฝนขอบังคับเกี่ยวกับการทํางาน ทั้งหนังสือใหโจทกพนสภาพการเปนพนักงานของจําเลย ลวนระบุวาเปนเรื่องฝาฝนคําสั่งของนายจางในกรณีไม่ลงลายมือชื่อในสัญญาจางแรงงาน การที่โจทก์ไมยอมลงลายมือชื่อทําสัญญาจางกับจําเลยนั้น มิใชเปนการฝาฝน คําสั่งอันชอบดวยกฎหมายของจําเลยซึ่งเปนนายจาง กรณีจึงไมเขาขอยกเวนที่นายจางไมตองจายคาชดเชยตาม พ.ร.บ. คุมครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 เมื่อจําเลยเลิกจางโจทก์ จําเลยจึงตองจายคาชดเชยใหแกโจทก
และสัญญาจางระหวางโจทก์กับจําเลยไมมีกําหนดระยะเวลา นายจางอาจเลิกจางโดยบอกกลาวลวงหนา
เปนหนังสือให้อีกฝายหนึ่งทราบ ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจายคาจางคราวหนึ่งคราวใด
เพื่อใหเปนผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจายคาจางคราวถัดไปขางหนาก็ได สําหรับโจทกมีการกําหนด
จายคาจางทุกวันที่ 5 และวันที่ 20 ของทุกเดือน จําเลยเลิกจางโจทก์วันที่ 3 มกราคม 2561 ซึ่งเปน เวลากอนถึงกําหนดจายคาจางในวันที่ 5 มกราคม 2561 จึงมีผลให้เปนการเลิกสัญญากัน
เมื่อถึงกําหนดจาย  คาจางคราวถัดไปคือวันที่ 20 มกราคม 2561 เมื่อจําเลยเลิกจางโจทก์โดยไมไดบอกกลาวลวงหนา จำเลยจึงตองจายสินจางแทนการบอกกลาวลวงหนาเท่ากับคาจางจํานวน 20 วัน สำหรับการเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่นั้น เมื่อจําเลยประสงค์จะทําสัญญาจางเปนลายลักษณอักษรจําเลยก็ควรจัดทําสัญญาจางเปน 2 แบบ โดยสําหรับพนักงานที่เริ่มทํางานใหมที่มีชวงระยะเวลาทดลองงาน
แบบหนึ่ง แตสําหรับพนักงานที่ทํางานมานานแลวหรือผานการทดลองงานแลวเชนโจทก์ก็ควรทําสัญญา
จางแรงงานระบุขอความสําหรับพนักงานที่ทํางานมานานแลวอีกแบบหนึ่งใหชัดเจน การที่จำเลย
นำสัญญาจางแรงงานเอกสารที่มีขอความเกี่ยวกับการเริ่มทดลองงานใหมมาให้โจทกลงลายมือชื่อ กรณี
มีเหตุทําใหโจทกเขาใจไดวาหากลงลายมือชื่อไปอาจจะกอ ความเสียหายแกโจทกได้ จึงเปนเหตุทําใหโจทก์ไมยอมลงลายมือชื่อ ขอสัญญา ขอ 11 ถึงขอ 16 เกี่ยวกับเรื่องการไมเปดเผยขอมูลความลับในทางธุรกิจ การโอนสิทธิบรรดางานที่ลูกจ้างสร้างสรรค์ขึ้น และการหามในชวงระยะเวลา ๒ ปี นับจากสัญญาจางสิ้นสุดลง หากผิดสัญญาลูกจางต้องจายคาเสียหาย 600,000 บาท นั้น แมขอสัญญา
การจํากัดสิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพบางประการของลูกจางภายในระยะเวลาที่พอสมควร นายจางและลูกจางสามารถตกลงกันไดก็ตาม แตก็เปนเรื่องที่นายจางและลูกจางตองตกลงกันในการทําสัญญาจาง หากขอตกลงเดิมเกี่ยวกับการจางแรงงานไมมีอยูในสัญญาจาง นายจ้างจะเพิ่มขอสัญญา
ที่กอใหเกิดภาระเกินควรกับลูกจางมิได การทําสัญญาจางแรงงานขึ้นใหมจึงเปนการเพิ่มขอตกลงที่มี
อยูเดิมเปนการสรางภาระเกินควรแกโจทก กรณีมีเหตุอันควรที่โจทกจะไมยอมลงลายมือชื่อในสัญญาจางกับจําเลย การที่จําเลยอางเหตุนี้มาเลิกจางจึงปราศจากเหตุผลอันสมควร เปนการเลิกจางโดยไมเปนธรรม จำเลยต้องชำระค่าเสียหายแก่โจทก์

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน ระเบียบ หรือคำสั่งของจำเลยอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม ซึ่งจำเลยได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้วหรือไม่ เห็นว่า ศาลแรงงานภาค ๗ ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยไม่มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน เมื่อจำเลยได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จำเลยจึงจัดทำข้อบังคับเกี่ยวกับ
การทำงานขึ้น เมื่อไม่ปรากฏว่ามีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานฉบับเดิม หรือในขณะที่จำเลยตกลงว่าจ้างโจทก์ให้มาทำงานเมื่อปี 2553 มีข้อตกลงในลักษณะอันเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพบางประการของโจทก์ หรือมีข้อตกลงให้โจทก์โอนบรรดาผลงานทั้งหมดที่โจทก์สร้างสรรค์
ให้ตกเป็นของจำเลย ดังเช่นที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างแรงงานข้อ 13 ถึงข้อ 15 ฉะนั้น การที่จำเลย
นำสัญญาจ้างแรงงานซึ่งมีเงื่อนไขดังกล่าวมาให้โจทก์ลงลายมือชื่อ จึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลง
ในการจ้างแรงงานที่แตกต่างไปจากเดิมซึ่งไม่เป็นคุณแก่โจทก์ กรณีถือไม่ได้ว่าการที่โจทก์ไม่ยอม
ลงลายมือชื่อในสัญญาจ้างแรงงานเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลย คำสั่งของจำเลยไม่มีผลบังคับแก่โจทก์ หนังสือเตือนจึงไม่มีสภาพบังคับเป็นหนังสือเตือน
ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ โดยโจทก์ไม่ได้กระทำผิด และไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ทั้งเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ถือเป็นการเลิกจ้าง
โดยไม่เป็นธรรม จำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย และค่าเสียหาย
จากการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานภาค 7 วินิจฉัยมานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

         พิพากษายืน.

(เกื้อ  วุฒิปวัฒน์ - สุจินต์  เชี่ยวชาญศิลป์ - วิชชุพล  สุขสวัสดิ์)

อิศเรศ ปราโมช ณ อยุธยา – ย่อ

สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ – ตรวจ