คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 112/2562      นายศุภชัย  สิรภัค                    โจทก์

                                                                        บริษัทโอเคเค แมนูแฟคเจอรี่

                                                                        (ไทยแลนด์) จำกัด

                                                                         หรือบริษัทโอเคเค แมนูแฟคเจอริ่ง

                                                                         (ไทยแลนด์) จำกัด                     จำเลย

 

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙

 

          การพิจารณาว่าการเลิกจ้างใดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น จะต้องพิจารณาถึงสาเหตุในการเลิกจ้างว่านายจ้างมีเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้างหรือไม่ ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงเหตุทั้งจากนายจ้างและลูกจ้างด้วย เมื่อผลประกอบการของจำเลยมีปัญหาขาดทุนสะสมจนเป็นเหตุให้จำเลยต้องปรับโครงสร้างกิจการโดยประสงค์จะเลิกกิจการและโอนกิจการระหว่างบริษัทในเครือ จึงมีการเลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมดรวมทั้งโจทก์ ถือเป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจการดำเนินกิจการทางการค้าของจำเลย จำเลยเลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมดไม่ได้เลือกปฏิบัติเจาะจงเลิกจ้างเฉพาะโจทก์เท่านั้น ทั้งจำเลยจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแก่โจทก์แล้ว และเสนอให้โจทก์ไปทำงานกับบริษัทในเครืออีกด้วย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

______________________________

 

          โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๘๑,๕๑๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

          จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

          ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ๘๑,๕๑๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๐) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

          จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานกลางงดการบังคับคดี ซึ่งเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๑ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งยกคำร้อง

          จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่ง

          ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๕ โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งเจ้าหน้าที่สำนักงานส่วนงานคลังสินค้า ได้รับเงินเดือน เดือนละ ๑๔,๗๐๒ บาท ค่าที่พักเดือนละ ๘๐๐ บาท ค่าเดินทางเดือนละ ๘๐๐ บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามสำเนาหนังสือเลิกจ้าง โจทก์ตกลงเข้าทำงานกับบริษัทโอเคเค แมชชีน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามสำเนาหนังสือสัญญาจ้างงาน แล้ววินิจฉัยว่า การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ และกำหนดให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ย

          คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้อ ๒.๑ เป็นประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายคำฟ้องให้ชัดแจ้งว่าจำเลยไม่ได้ขาดทุนอย่างไร และการที่โจทก์บรรยายคำฟ้องทำนองว่าจำเลยไม่ได้ขาดทุนดังกล่าวยังขัดแย้งกับงบรายการส่งงบการเงินของจำเลยที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้องซึ่งไม่ได้ปรากฏงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จของจำเลย เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุที่ไม่เป็นธรรมและขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จากคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า กลางเดือนเมษายน ๒๕๖๐ โจทก์ตรวจสอบพบว่าจำเลยไม่ได้ขาดทุน ไม่ได้ปิดกิจการหรือโอนกิจการใด ๆ เนื่องจากจำเลยและบริษัทโอเคเค แมชชีน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นนิติบุคคลในเครือบริษัทเดียวกัน มีกรรมการคนเดียวกัน สำนักงานใหญ่เป็นสถานที่เดียวกัน ประกอบกับสถานที่ปฏิบัติงานของโจทก์ที่ทำงานให้กับนายจ้างใหม่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงยังคงทำงานอยู่ที่เดิม ซึ่งเป็นการบรรยายสภาพแห่งข้อหาแล้วว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุที่ไม่เป็นธรรม โดยมีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยไม่ได้ขาดทุนหรือปิดกิจการหรือโอนกิจการใด ๆ ส่วนจำเลยขาดทุนหรือไม่ อย่างไร เป็นเรื่องที่สามารถไต่สวนให้ได้ความในชั้นพิจารณา คำฟ้องของโจทก์จึงถือได้ว่า ได้แสดงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ชัดเจนพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาเช่นว่านั้นได้ดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย ไม่เคลือบคลุม ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

          มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการต่อไปว่า การเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยประสบภาวะขาดทุนถึงขนาดกิจการไม่สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ จึงมีเหตุจำเป็นที่สมควรเพียงพอที่เลิกจ้างโจทก์ได้ และการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยจ่ายค่าชดเชยให้ตามกฎหมายจะทำให้โจทก์ได้รับผลประโยชน์ในเรื่องค่าชดเชยถึงสองครั้ง แม้จะไม่ได้รับประโยชน์ในเรื่องของการนับอายุงานต่อเนื่อง เห็นว่า ในการพิจารณาว่าการเลิกจ้างใดเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้น จะต้องพิจารณาถึงสาเหตุในการเลิกจ้างว่านายจ้างมีเหตุอันสมควรที่จะเลิกจ้างหรือไม่ ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงเหตุทั้งจากนายจ้างและลูกจ้างด้วย ข้อเท็จจริงยุติตามคำฟ้องคำให้การ ทางนำสืบของคู่ความที่ไม่โต้แย้งกัน และตามที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่า จากผลประกอบการของจำเลย ๕ ปี ล่าสุดในรอบปีบัญชี ๒๕๕๖ ถึง ๒๕๖๐ จำเลยขาดทุน ๓ ปี และกำไร ๒ ปี รวมขาดทุนสุทธิ ๑๓,๓๙๐,๕๙๕.๘๗ บาท ตามสำเนางบการเงินและรายงานของผู้สอบบัญชีรับอนุญาต จำเลยดำเนินการปรับโครงสร้างกิจการโดยประสงค์จะเลิกกิจการและโอนกิจการระหว่างบริษัทในเครือตามสำเนาหนังสือเชิญประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น และเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ จำเลยชี้แจงและบอกเลิกจ้างลูกจ้างทุกคน กำหนดให้มีผลวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ โดยจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง และเสนอให้ลูกจ้างไปทำงานที่บริษัทโอเคเค แมชชีน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ในส่วนของโจทก์ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามสำเนาหนังสือเลิกจ้าง โดยจำเลยจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแก่โจทก์แล้ว ต่อมาโจทก์สมัครเข้าทำงานกับบริษัทโอเคเค แมชชีน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตามสำเนาหนังสือสัญญาจ้างงาน ด้วยความสมัครใจของโจทก์ ดังนี้ เมื่อผลประกอบการของจำเลยมีปัญหาขาดทุนสะสมจนเป็นเหตุให้จำเลยต้องปรับโครงสร้างกิจการโดยประสงค์จะเลิกกิจการและโอนกิจการระหว่างบริษัทในเครือ จึงมีการเลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมดรวมทั้งโจทก์ ถือเป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจการดำเนินกิจการทางการค้าของจำเลย จำเลยเลิกจ้างลูกจ้างทั้งหมด ไม่ได้เลือกปฏิบัติ เจาะจงเลิกจ้างเฉพาะโจทก์เท่านั้น ทั้งจำเลยจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายแก่โจทก์แล้ว และเสนอให้โจทก์ไปทำงานกับบริษัทโอเคเค แมชชีน เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด อีกด้วย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น

          ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลแรงงานกลางลงวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๖๑ ที่มีคำสั่งไม่อนุญาตให้งดการบังคับคดี เห็นว่า เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ จำเลยยื่นคำร้องของดการบังคับคดีอีกครั้ง อ้างว่า จำเลยวางเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว ซึ่งศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตให้งดการบังคับคดีไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๓๑ วรรคสาม ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ กรณีจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง

          พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.

 

(ยิ่งลักษณ์  สุขวิสิฏฐ์ - เฉลิมพงศ์  ขันตี - สมเกียรติ  คูวัธนไพศาล)

 

วิฑูรย์  ตรีสุนทรรัตน์ - ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ - ตรวจ