Print
Category: 2559
Hits: 10

คำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ วท ๑๔/๒๕๕๙ บริษัทเอฟเอส อินเตอร์

                                                                                 โลจิสติคส์ จํากัด              โจทก์

                                                                                 บริษัทโต ฟา (ไทยแลนด์)

                                                                                 จํากัด                           จำเลย

 

         ข้อหาและข้ออ้างตามคำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ขนส่งสินค้าอลูมิเนียมเส้นและดำเนินพิธีการศุลกากรโดยโจทก์ออกค่าบริการและค่าใช้จ่ายแทนไปก่อน ซึ่งเป็นคดีที่มี
ข้อพิพาทเกี่ยวกับนิติกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งระหว่างประเทศโดยลำพัง ไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศแต่อย่างใด และจำเลยก็ยอมรับหนี้ที่โจทก์ฟ้องไม่ได้ต่อสู้หรือปฏิเสธฟ้อง คดีตามฟ้องเดิมจึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศตามมาตรา ๗ (๕)
แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่ที่จำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดตามสัญญาขนส่งซีเมนต์จากหน้าโรงงานในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนไปยังที่ทำการจังหวัดสมุทรสาคร ประเทศไทย และเรียกร้องค่าเสียหายหลังจากหักกลบแล้วคงเหลือ ๔๐๐
,๐๐๐ บาทเศษนั้น
เมื่อโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งปฏิเสธว่า โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา คดีตามฟ้องแย้งจึงมีประเด็น
ข้อพิพาทว่า โจทก์ผิดสัญญาขนส่งซีเมนต์ให้แก่จำเลยหรือไม่ ซึ่งต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับเงื่อนไข
และความรับผิดของคู่สัญญาตามสัญญาขนส่งทางทะเล ซึ่งส่งสินค้าจากต่างประเทศมายังประเทศไทย อันเป็นการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ คดีตามฟ้องแย้งจึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศ ตามมาตรา ๗ (๕) แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังนั้น แม้ศาลจังหวัดพระโขนงจะรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาและชี้ขาดเข้าด้วยกันกับฟ้องเดิม
แต่เมื่อศาลจังหวัดพระโขนงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศตามฟ้องแย้งได้ จำเลยจึงต้องแยกไปฟ้องเป็นคดีใหม่ต่างหากยังศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศต่อไป

_____________________________

         โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างเดือนธันวาคม ๒๕๕๘ ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ จำเลยว่าจ้างโจทก์
นำสินค้าออกจากท่าเรือในราชอาณาจักรและขนส่งสินค้าให้แก่จำเลย จำเลยรับมอบสินค้าครบถ้วนแล้ว โจทก์และจำเลยตกลงให้โจทก์สำรองจ่ายเงินค่าภาษี ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
โดยจำเลยจะชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ได้รับใบแจ้งหนี้ โจทก์คิดค่าจ้างดำเนินการออกสินค้าจากท่าเรือและขนส่งสินค้าอลูมิเนียมเส้น เตาเผาแท่งอลูมิเนียม ตะแกรง
มุ้งพลาสติก และเงินค่าธรรมเนียมสั่งปล่อยสินค้าพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องรวม ๖๙๙,๖๓๒.๘๔ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๖๙๙,๖๓๒.๘๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖๘๘,๐๔๐.๕๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

         จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดพระโขนงเพราะจำเลย
มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดสมุทรสาคร และสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญารับขนทางทะเล เพราะนอกจากโจทก์จะดำเนินการทางพิธีการศุลกากรแล้ว โจทก์ยังต้องรับขนสินค้าจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนไปยังประเทศไทยด้วย ซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องคดีที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญา
และการค้าระหว่างประเทศ จำเลยตกลงให้โจทก์นำสินค้าอลูมิเนียมเส้นรวม ๕ ตู้ บรรทุกมาทางเรือ โจทก์มีหน้าที่เพียงนำเรือเข้าเทียบท่า นำของออกจากท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี โดยผ่านพิธีการทางศุลกากร แล้วขนส่งสินค้าไปให้จำเลย ณ ที่ทำการของจำเลยในจังหวัดสมุทรสาคร และอีกส่วนเป็นสินค้าซีเมนต์ทนความร้อน ๑ ตู้ สินค้านี้มีอายุใช้งานเพียง ๔๕ วัน นับจากวันผลิต โดยจำเลยตกลงให้โจทก์ขนซีเมนต์จากหน้าโรงงานและผ่านพิธีการศุลกากรในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ลงเรือ
ต่อขนส่งผ่านพิธีการศุลกากรที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ประเทศไทย แล้วขนส่งโดยรถบรรทุกไปยังภูมิลำเนาของจำเลยจังหวัดสมุทรสาคร แต่โจทก์บกพร่องและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงส่งมอบซีเมนต์ให้จำเลยล่าช้าจนซีเมนต์หมดอายุใช้งาน จำเลยต้องจ่ายค่าซีเมนต์ให้แก่ผู้ขายในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยแจ้งให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว แต่โจทก์เพิกเฉย เมื่อนำค่าเสียหายของจำเลยหักกลบกับเงินที่โจทก์ฟ้องเรียก โจทก์ยังต้องชดใช้คืนให้แก่จำเลยอีก ๔๐๐,๐๐๐ บาทเศษ จำเลยไม่ได้ผิดนัดผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง และขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย ๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจาก
วันฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย

         โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยติดต่อว่าจ้างโจทก์ให้เป็นตัวแทนดำเนินพิธีการศุลกากรและรับขนสินค้าของจำเลยตามฟ้องโดยทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ สัญญาว่าจ้างตกลงกัน ณ ที่ทำการโจทก์ จำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้ค่าบริการ ไม่ชำระคืนเงินค่าภาษี ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามฟ้อง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดพระโขนง โจทก์รับขนและทำพิธีการศุลกากรในราชอาณาจักร ส่วนสินค้าซีเมนต์ที่บรรจุผ่านเรือบรรทุกสินค้า MATHU BHUM เลขประจำตู้สินค้า REGU ๔๒๒๑๓๒๗๑ เป็นเรือบรรทุกสินค้าคนละลำและเป็นตู้สินค้าคนละตู้กับที่โจทก์ฟ้อง โดยโจทก์ได้ดำเนินการฟ้องจำเลยเป็นคดีหมายเลขดำที่ ม. ๗๖/๒๕๕๙ ของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
ซึ่งสินค้าซีเมนต์ตามฟ้องแย้งนี้โจทก์ได้มอบหมายให้บริษัทชิงเต่า เฮดเวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด ขนส่งสินค้าและผ่านพิธีการศุลกากรในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อมาสินค้ามาถึงท่าเรือในราชอาณาจักร โจทก์จึงได้ดำเนินพิธีการทางศุลกากรนำสินค้าออกจากท่าเรือในราชอาณาจักร
และส่งมอบให้กับจำเลยรับไปเรียบร้อยแล้ว เหตุขัดข้องในการขนส่งสินค้าดังกล่าวไม่ได้เกิดจาก
ความบกพร่องในหน้าที่ของโจทก์หรือตัวแทนโจทก์ แต่เกิดจากความบกพร่องของจำเลยและตัวแทนจำเลยที่ไม่ระบุรายละเอียดให้ครบถ้วนถูกต้อง เป็นเหตุให้ศุลกากรของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนตรวจยึดตู้สินค้าซีเมนต์ไว้ จำเลยไม่มีอำนาจฟ้องแย้งโจทก์เรียกค่าเสียหายเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศต่อศาลจังหวัดพระโขนง แต่ต้องฟ้องหรือฟ้องแย้งเป็นคดีต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ขอให้ศาลวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องและจำหน่ายคดีในส่วนฟ้องแย้ง
และพิพากษายกฟ้องแย้ง

         ในชั้นชี้สองสถาน ศาลจังหวัดพระโขนงเห็นว่า กรณีมีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศหรือไม่ จึงให้รอการพิจารณาพิพากษา
คดีไว้ชั่วคราว แล้วเสนอปัญหาดังกล่าวให้ประธานศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษเป็นผู้วินิจฉัย
ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณา
คดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๙

         วินิจฉัยว่า กรณีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศและนิติกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่องตามมาตรา ๗ (๕) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญา
และการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
พ.ศ.๒๕๓๙ หรือไม่ เห็นว่า ข้อหาและข้ออ้างตามคำฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ขนส่งสินค้าอลูมิเนียมเส้นและดำเนินพิธีการศุลกากร โดยโจทก์ออกค่าบริการและค่าใช้จ่ายแทนไปก่อน
ซึ่งเป็นคดีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับนิติกรรมอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งระหว่างประเทศโดยลำพัง
ไม่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศแต่อย่างใด และจำเลยก็ยอมรับหนี้ที่โจทก์ฟ้องไม่ได้ต่อสู้หรือปฏิเสธฟ้อง คดีตามฟ้องเดิมจึงไม่ใช่คดีแพ่งเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศตามมาตรา ๗ (๕) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่ที่จำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดตามสัญญาขนส่งซีเมนต์จากหน้าโรงงานในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนไปยังที่ทำการจังหวัดสมุทรสาคร ประเทศไทย และเรียกร้องค่าเสียหายหลังจากหักกลบแล้วคงเหลือ ๔๐๐,๐๐๐ บาทเศษนั้น เมื่อโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งปฏิเสธว่า โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติผิดสัญญา
คดีตามคำฟ้องแย้งจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ผิดสัญญาขนส่งซีเมนต์ให้แก่จำเลยหรือไม่ ซึ่งต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับเงื่อนไขและความรับผิดของคู่สัญญาตามสัญญาขนส่งทางทะเล ซึ่งส่งสินค้า
จากต่างประเทศมายังประเทศไทย อันเป็นการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ คดีตามฟ้องแย้ง
จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศตามมาตรา ๗ (๕) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังนั้นแม้ศาลจังหวัดพระโขนงจะรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณา
และชี้ขาดเข้าด้วยกันกับฟ้องเดิม แต่เมื่อศาลจังหวัดพระโขนงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศตามฟ้องแย้งได้ จำเลยจึงต้องแยกไปฟ้องเป็นคดีใหม่ต่างหากยัง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศต่อไป

         วินิจฉัยว่า คดีตามฟ้องแย้งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ

 

วินิจฉัย ณ วันที่ ๓๐ เดือน ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙

 

เมทินี ชโลธร

(นางเมทินี ชโลธร)

ประธานศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษ

 

สุธรรม สุธัมนาถพงษ์ - ย่อ

นิภา ชัยเจริญ - ตรวจ