Print
Category: 2567
Hits: 6

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 1969/2567 บริษัท ข.                                 โจทก์

                                                                      บริษัท ซ.                                 ผู้ร้อง

                                                                      เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กับพวก ผู้คัดค้าน

                                                                      บริษัท ท.                                จำเลย

ป.พ.พ. มาตรา 194, 314 วรรคสอง, 331

พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115

         การชำระหนี้เงินของผู้คัดค้านที่ ๒ ด้วยการวางทรัพย์กระทำขึ้นภายหลังศาลมีคำสั่ง
พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เงินที่ชำระมิใช่เป็นเงินในกองทรัพย์สินของจำเลย ไม่ทำให้ทรัพย์สินของจำเลยเสียหาย ตลอดจนเจ้าหนี้อื่น ๆ ของจำเลยก็มีโอกาสได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สิน
ของจำเลยเพิ่มมากขึ้นด้วย จึงไม่ตกเป็นโมฆะและไม่อยู่ในข้อที่จะต้องพิจารณาว่าการชำระหนี้
เป็นการให้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นซึ่งอาจถูกเพิกถอนตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 115 ทั้งยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ปฏิเสธหรือไม่ยินยอมให้ผู้คัดค้านที่ 2 ชำระหนี้ดังกล่าว
แทนจำเลย จึงมิใช่เป็นการชำระหนี้โดยขืนใจลูกหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๑๔ วรรคสอง
และเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว สิทธิเรียกร้องในหนี้ดังกล่าวของผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้
จึงสิ้นสุดลงโดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร้องแต่อย่างใด

         เมื่อผู้คัดค้านที่ ๑ มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ตามคำขอรับชำระหนี้เต็มจำนวนเงิน
ที่ผู้คัดค้านที่ ๒ วางทรัพย์แล้ว ถึงแม้ผู้ร้องจะทำหนังสือปฏิเสธไม่ขอรับชำระหนี้จากเงินวางทรัพย์นั้นไม่ว่าจะเกิดขึ้นด้วยเจตนาอันสุจริตหรือไม่ ก็ไม่มีผลกระทบต่อการทำให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้
ที่ผู้ร้องที่ ๒ ขอรับชำระได้จากการวางทรัพย์โดยชอบตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๓๑ ผลแห่งการหลุดพ้นจากหนี้ของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่อยู่ในฐานะแห่งความเป็นเจ้าหนี้ที่จะมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๙๔ ได้อีกต่อไป ผู้ร้องย่อมหมดสิทธิในการออกเสียง
ต่อที่ประชุมในการพิจารณาคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย ที่ผู้คัดค้านที่ ๑ มีคำสั่งไม่ให้ผู้ร้อง
ออกเสียงลงมติในวันประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก (ที่เลื่อนมา) เพื่อพิจารณาคำขอประนอมหนี้
ก่อนล้มละลายของจำเลยจึงชอบแล้ว  

______________________________

         ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1 และมีคำสั่งให้ผู้ร้อง
ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลย และระงับการประชุมเจ้าหนี้ไว้จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นหรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

         โจทก์ยื่นคำร้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่ 1

         ผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง

         จำเลยยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง

         ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

         ผู้ร้องอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกัน
ในชั้นอุทธรณ์ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2564 กรรมการผู้คัดค้านที่ 2 ประชุมร่วมกันโดยมีมติ
ที่ประชุมเป็นเอกฉันท์ให้สัตยาบันเห็นชอบให้ผู้คัดค้านที่ 2 เข้าช่วยเหลือดูแลคดีล้มละลายของจำเลย ประคับประคองการดำเนินกิจการในโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อให้มีรายได้อย่างสม่ำเสมอและไม่ถูกปิดกิจการเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหุ้นทั้งหลายที่อาจจะสูญเสียผลตอบแทน
หากจำเลยล้มละลาย จากนั้นวันที่ 24 กันยายน 2565 ผู้คัดค้านที่ 2 มีมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้ผู้คัดค้านที่ 2 เบิกเงินสดจากบัญชีของบริษัทนำไปชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำนวน 319,695.73 บาท ต่อมาวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 และวันที่ 14 ธันวาคม 2565 ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำร้องขอวางทรัพย์ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี เพื่อชำระหนี้แทนจำเลยในหนี้ที่ค้างชำระแก่ผู้ร้อง
เป็นเงิน 319,695.73 บาท แต่ผู้ร้องยื่นคำแถลงต่อผู้คัดค้านที่ 1 ว่า ผู้ร้องไม่ประสงค์ที่จะรับชำระหนี้จากเงินจำนวนดังกล่าวที่ผู้คัดค้านที่ 2 นำไปวางทรัพย์ ต่อมาผู้คัดค้านที่ 1 กำหนดประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก (ที่เลื่อนมา) ในวันที่ 27 ธันวาคม 2565 เพื่อพิจารณาคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของจำเลย คงเหลือเจ้าหนี้ที่มีสิทธิออกเสียงเกี่ยวกับคำขอประนอมหนี้ คือ โจทก์ เจ้าหนี้รายที่ 2 กรมศุลกากร เจ้าหนี้รายที่ 3 ธนาคาร ก. เจ้าหนี้รายที่ 4 และที่ 13 และผู้ร้อง เจ้าหนี้รายที่ 6 ซึ่งผู้คัดค้านที่ 1
มีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับชำระหนี้ 319,695.73 บาท ผู้คัดค้านที่ ๑ มีความเห็นว่า การชำระหนี้
ของผู้คัดค้านที่ 2 แทนจำเลยให้แก่ผู้ร้องด้วยการวางทรัพย์ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 331 ประกอบมาตรา ๓๑๔ จึงมีคำสั่งไม่ให้ผู้ร้องออกเสียงลงมติเกี่ยวกับคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย

         ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า การที่ผู้คัดค้านที่ 2 วางทรัพย์เป็นเงินชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องเต็มจำนวนแทนจำเลยทำให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้หรือไม่ และทำให้ผู้ร้องไม่มีสิทธิลงมติ
ในที่ประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของจำเลยหรือไม่ เห็นว่า การที่
ผู้คัดค้านที่ 2 มีมติในที่ประชุมกรรมการเห็นชอบให้เข้าช่วยเหลือประคับประคองกิจการของจำเลย
นำเงินของผู้คัดค้านที่ 2 ไปชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องแทนจำเลยด้วยการวางทรัพย์ต่อสำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร ๕ จำนวน 319,965.73 บาท ถือว่าเป็นเรื่องการดำเนินการของบุคคลภายนอก
คดีล้มละลาย เป็นสิทธิที่จะพึงกระทำได้โดยชอบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 314 และมาตรา 333 วรรคหนึ่ง แม้นายพลศักดิ์ จะเป็นกรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่งของทั้งจำเลย
กับผู้คัดค้านที่ ๒ แต่จำเลยกับผู้คัดค้านที่ ๒ เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกัน เงินที่ผู้คัดค้านที่ ๒
นำมาวางชำระหนี้จึงมิใช่ทรัพย์สินของจำเลยในคดีล้มละลายอันอาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้
อีกทั้งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 หาได้มีบทบัญญัติห้ามกระทำการดังกล่าวแต่อย่างใดไม่ แม้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 เพียงผู้เดียวที่มีอำนาจในการจัดการทรัพย์สินของจำเลย เก็บรวบรวม รับเงิน
หรือทรัพย์สินซึ่งจะตกแก่จำเลย หรือที่จำเลยมีสิทธิจะได้รับจากผู้อื่น เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
ของจำเลยเด็ดขาดแล้ว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 (๑) (๒) แต่เมื่อเงิน
ที่นำมาชำระมิใช่เป็นเงินในกองทรัพย์สินของจำเลย ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่มีอำนาจเข้าไปควบคุมจัดการ
อีกทั้งการชำระหนี้เงินของผู้คัดค้านที่ 2 ด้วยการวางทรัพย์กระทำขึ้นภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เมื่อเงินที่ชำระมิใช่เป็นเงินในกองทรัพย์สินของจำเลย ย่อมไม่ทำให้ทรัพย์สิน
ของจำเลยเสียหาย ตลอดจนเจ้าหนี้อื่น ๆ ของจำเลยก็มีโอกาสได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สิน
ของจำเลยเพิ่มมากขึ้นด้วย กรณีจึงไม่ตกเป็นโมฆะและไม่อยู่ในข้อที่จะต้องพิจารณาว่าการชำระหนี้
เป็นการให้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นซึ่งอาจถูกเพิกถอน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
มาตรา 115 ทั้งยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยปฏิเสธหรือไม่ยินยอมให้ผู้คัดค้านที่ ๒ ชำระหนี้ดังกล่าวแทนจำเลย จึงมิใช่เป็นการชำระหนี้โดยขืนใจลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๓๑๔ วรรคสอง และเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว สิทธิเรียกร้องในหนี้ดังกล่าว
ของผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้จึงสิ้นสุดลงโดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร้องแต่อย่างใด แม้ผู้ร้องจะทำหนังสือปฏิเสธไม่ขอรับชำระหนี้จากเงินวางทรัพย์ดังกล่าว ซึ่งผิดปกติวิสัยของเจ้าหนี้ทั่วไป
แต่เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฏในรายงานการประชุมกรรมการบริษัทของผู้คัดค้านที่ ๒ ที่ว่า
นายประเสริฐ กับนายประวิตร เป็นทั้งกรรมการของโจทก์และของจำเลย แต่โจทก์กลับฟ้องจำเลย
เป็นคดีล้มละลาย โดยนายสุรพร ซึ่งเป็นประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของจำเลย
และนายธรรมนูญ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบคดีความต่าง ๆ ของจำเลยและบริษัทในเครือทั้งหมด ปฏิเสธ
ไม่ทราบเรื่องการถูกฟ้องคดีล้มละลาย ระหว่างไต่สวนจำเลยและทนายจำเลยก็ไม่ไปศาล ซึ่งบ่งชี้ว่า
การที่ผู้ร้องทำหนังสือปฏิเสธไม่ขอรับชำระหนี้จากเงินวางทรัพย์เกิดจากความขัดแย้งภายในกลุ่มผู้บริหารของโจทก์ จำเลย ผู้ร้อง และผู้คัดค้านที่ ๒ การทำหนังสือปฏิเสธไม่ขอรับชำระหนี้ของผู้ร้องจึงไม่มีผลกระทบต่อการทำให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้ที่ผู้ร้องขอรับชำระได้ดังที่วินิจฉัยมาแต่ต้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 331 ผลแห่งการหลุดพ้นจากหนี้ของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่อยู่
ในฐานะแห่งความเป็นเจ้าหนี้ที่จะมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 194 ได้อีกต่อไป ผู้ร้องย่อมหมดสิทธิในการออกเสียงต่อที่ประชุมในการพิจารณา
คำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 34 วรรคหนึ่ง
ที่ผู้คัดค้านที่ 1 มีคำสั่งไม่ให้ผู้ร้องออกเสียงลงมติในวันประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก (ที่เลื่อนมา) เพื่อพิจารณาคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของจำเลย และศาลล้มละลายกลางพิจารณาเห็นชอบด้วย กับมีคำสั่ง
ให้ยกคำร้องของผู้ร้องและโจทก์มานั้น จึงต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ อุทธรณ์
ทุกข้อของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น ส่วนที่ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่มีวัตถุประสงค์ในการชำระหนี้แทนจำเลยตามหนังสือรับรองบริษัท และผู้คัดค้านที่ 2 เคยยื่นคำร้องขอชำระหนี้ในคดีล้มละลายแทนจำเลย แต่ผู้คัดค้านที่ 1 ยกคำร้อง ผู้คัดค้านที่ 2 มิได้คัดค้านคำสั่งดังกล่าวต่อศาล แต่กลับดำเนินการวางทรัพย์ที่สำนักงานวางทรัพย์อันเป็นการหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และการที่ผู้คัดค้านที่ 1 มีคำสั่ง
คำขอรับชำระหนี้ใหม่ว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลย ไม่ใช่เกิดเพราะเหตุ
ผิดหลงตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา 108 ผู้คัดค้านที่ 1 จึงไม่มีอำนาจเปลี่ยนแปลงคำสั่งคำขอรับชำระหนี้เดิม อีกทั้งผู้คัดค้านที่ 2 เป็นหนี้ผู้ร้องเป็นต้นเงิน 319,695.73 บาท และดอกเบี้ยผิดนัด 143,001.52 บาท การที่ผู้คัดค้านที่ 2 นำเงินไปวางชำระหนี้เฉพาะต้นเงิน
จึงไม่ครบจำนวนหนี้ และไม่ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้ดังกล่าว ล้วนแต่เป็นข้อที่ผู้ร้องเพิ่งยกขึ้นอ้าง
ในชั้นอุทธรณ์ เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล้มละลายกลาง ตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลาย
และวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๒๔ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัยให้

 

 

         พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.

(ชวลิต ยงพาณิชย์ – เอื้อน ขุนแก้ว – ศักดิ์เสถียร สวนสุข)

สรายุทธ์ เตชะวุฒิพันธุ์ - ย่อ

                               ปวีณา แสงสว่าง - ตรวจ