คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 1946/2567 นาย ย. โจทก์
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้คัดค้าน
บริษัท น. จำเลย
พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 (2), 179 (4)
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราวแล้ว อำนาจในการเก็บรวบรวมทรัพย์สิน
ของจำเลยย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๒๒ (๒) การที่จำเลยยังมีกิจการที่กำลังดำเนินการอยู่ รวมถึงการให้บุคคลภายนอกเช่าพื้นที่บางส่วนในอาคารพาณิชย์ของจำเลย ผู้คัดค้านย่อมต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ คือต้องทำ
การรวบรวมเงินค่าเช่าเข้ากองทรัพย์สิน โดยโจทก์ไม่ต้องนำชี้ให้อายัดเงินดังกล่าว ดังนี้ ต้องถือว่า
ผู้คัดค้านได้ใช้ดุลพินิจตามอำนาจหน้าที่ของตนทำการยึดเงินของจำเลยมารวบรวมไว้ ต่อมา
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ พ ๒4๒๔/๒๕๕๘ ให้อายัดเงินค่าเช่าดังกล่าว
และภายหลังโจทก์ถอนฟ้องคดีล้มละลายซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดี บรรดากิจการ
ที่ได้ดำเนินมาในคดีล้มละลายย่อมต้องกลับคืนสู่สถานะเดิม เงินที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่าย
ในการดำเนินคดีล้มละลายและการดำเนินกิจการของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้
ในคดีล้มละลายที่ผู้คัดค้านจะนำมาคิดค่าธรรมเนียมโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑79 (4) เนื่องจากทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้รายเดียวกันถูกศาลมีคำสั่งให้ส่งไปชำระหนี้ในคดีแพ่งโดยไม่มี
การแบ่งทรัพย์สินชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ในคดีล้มละลาย ผู้คัดค้านจึงไม่มีอำนาจหักค่าธรรมเนียม
จากเงินที่เก็บรวบรวมได้ในคดีนี้ตามมาตรา ๑๗๙ (๔)
______________________________
จำเลยยื่นคำร้อง ขอให้มีคำสั่งยกคำสั่งของผู้คัดค้านลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้าน ขอให้จำหน่ายคดีหรือยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พิพากษายกคำสั่งศาลล้มละลายกลาง ให้ศาลล้มละลายกลางส่งสำเนาคำร้องให้แก่โจทก์แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลล้มละลายกลางรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งใหม่
โจทก์ไม่ยื่นคำคัดค้าน
ศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตจากศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกัน
ฟังได้ว่า จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๐๖๒๑/๒๕๔๓ โจทก์นำหนี้ดังกล่าวยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลล้มละลายกลางเป็นคดีหมายเลขดำที่ ล ๙/๒๕๕๔ พร้อมกับ
ยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราว ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๔
ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราว ผู้คัดค้านเข้าจัดการกิจการเก็บรวบรวมเงินและทรัพย์สินของจำเลย
ตามกฎหมาย ต่อมาจำเลยนำเงินที่ต้องชำระแก่โจทก์ไปวางต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้และยื่นคำร้อง
ต่อศาลล้มละลายกลางขอให้เพิกถอนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่
๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ ให้เพิกถอนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว ในวันดังกล่าวบริษัท ท. ซึ่งฟ้องจำเลย
ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ ๒๔๒๔/๒๕๕๘ ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวกรณีฉุกเฉิน ศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำสั่งให้อายัดเงินค่าเช่าค่าบริการที่ผู้คัดค้านต้องชำระคืนแก่จำเลยทั้งหมด
วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาต ต่อมา
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่บริษัท ท. เป็นคดีหมายเลขแดงที่ พ ๑๙๔๒/๒๕๖๐ วันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ บริษัท ท. ขอให้ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยมาชำระหนี้ ศาลมีคำสั่งอนุญาต เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งอายัดเงินของจำเลยไปยังผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านทำบัญชีแสดงรายการรับ - จ่ายเงินคดีล้มละลายโดยหักค่าธรรมเนียมของเงินสุทธิที่รวบรวมได้ร้อยละ ๒ ของเงิน ๘๘๓,๒๒๑,๖๖๒.๙๓ บาท เป็นเงิน ๑๗,๖๖๔,๔๓๓.๒๖ บาท คงเหลือเงินของจำเลยส่งให้แก่
เจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีศาลแพ่งกรุงเทพใต้หมายเลขแดงที่ พ ๑๙๔๒/๒๕๖๐ เป็นเงิน ๘๖๕,๕๕๖,๙๒๙.๖๗ บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีทำบัญชีแสดงรายการรับ – จ่ายเงิน ครั้งที่ ๑ โดยหักค่าธรรมเนียมร้อยละ ๒ ของเงินที่ได้รับจากผู้คัดค้านดังกล่าวอีกครั้งเป็นเงิน ๑๗,๓๑๑,๑๓๘.๕๙ บาท
แล้วส่งเงินของจำเลยชำระหนี้ให้แก่บริษัท ท. เป็นเงิน ๘๔๘,๒๔๕,๑๘๙.๐๘ บาท
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า ผู้คัดค้านมีอำนาจหักค่าธรรมเนียมจากเงิน
ที่เก็บรวบรวมได้ในคดีนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๗๙ (๔) ก่อนส่งเงินที่เหลือให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า จำเลยถูกฟ้องทั้งคดีล้มละลายและคดีแพ่งสามัญ การฟ้อง
คดีล้มละลายเป็นการฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้จัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวเพื่อมาแบ่งชำระหนี้ให้แก่บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลาย จึงมีลักษณะบางประการคล้ายกับคดีแพ่งสามัญที่เจ้าหนี้ฟ้อง
ขอให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระหนี้ ในการพิจารณาคดีล้มละลาย เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ชั่วคราวแล้ว อำนาจในการเก็บรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ย่อมเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๒๒ (๒) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เบิกความตอนหนึ่งว่า หลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว จำเลยมาให้การสอบสวนเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สิน ปรากฏว่ามีกิจการที่กำลังดำเนินการอยู่ รวมถึงการให้บุคคลภายนอกเช่าพื้นที่บางส่วนในอาคารพาณิชย์ของจำเลย เมื่อทรัพย์สินของจำเลยที่ผู้คัดค้านพบเป็นเงินหรือสิทธิเรียกร้อง
ผู้คัดค้านย่อมต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ คือต้องทำการรวบรวมเงินค่าเช่าเข้ากองทรัพย์สิน
โดยโจทก์ไม่ต้องนำชี้ให้อายัดเงินดังกล่าว ดังนี้ ต้องถือว่าผู้คัดค้านได้ใช้ดุลพินิจตามอำนาจหน้าที่ของตนทำการยึดเงินของจำเลยมารวบรวมไว้ ระหว่างศาลล้มละลายกลางดำเนินกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายแก่จำเลยมีการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีแพ่งสามัญเกิดขึ้นซ้อนกัน คือศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำสั่ง
เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ ในคดีหมายเลขดำที่ พ ๒๔๒๔/๒๕๕๘ ให้อายัดเงินค่าเช่าค่าบริการ
ที่ผู้คัดค้านต้องชำระคืนแก่จำเลยทั้งหมด ต่อมาวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๙ โจทก์ถอนฟ้องคดีล้มละลาย ซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ บรรดากิจการที่ได้ดำเนินมา
ในคดีล้มละลายย่อมต้องกลับคืนสู่สถานะเดิม เงินที่เหลือจากการหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีล้มละลายและการดำเนินกิจการของจำเลยถือไม่ได้ว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายที่ผู้คัดค้านจะนำมาคิดค่าธรรมเนียมโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๗๙ (๔) เนื่องจากทรัพย์สินของจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้รายเดียวกันถูกศาลมีคำสั่งให้ส่งไปชำระหนี้ในคดีแพ่งโดยไม่มีการแบ่งทรัพย์สินชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ในคดีล้มละลาย ผู้คัดค้านจึงไม่มีอำนาจหักค่าธรรมเนียมจากเงิน
ที่เก็บรวบรวมได้ในคดีนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๗๙ (๔)
อนึ่ง จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่คิดค่าธรรมเนียมในคดีล้มละลาย ไม่ตรงกับในชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยขอให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษา
ให้ผู้คัดค้านส่งเงินค่าธรรมเนียมที่หักไว้โดยมิชอบจำนวน ๑๗,๖๖๔,๔๓๓.๒๖ บาท ไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ พ ๑๙๔๒/๒๕๖๐ ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นว่า เมื่อได้วินิจฉัยมาข้างต้นแล้วว่าผู้คัดค้านไม่มีอำนาจหักค่าธรรมเนียมในคดีล้มละลาย และเจ้าพนักงานบังคับคดีมีบันทึกขออายัดเงินของจำเลยที่ผู้คัดค้านรวบรวมไว้ในคดีหมายเลขแดงที่ ล ๒๐๑๙/๒๕๕๔ ของศาลล้มละลายกลางแล้ว เงินที่ผู้คัดค้านหักไว้ต้องส่งให้เจ้าพนักงานในคดีแพ่งเพื่อดำเนินการต่อไป เพื่อความรวดเร็วในการดำเนินคดีจึงเห็นสมควรมีคำสั่งไปคราวเดียวกันในคดีนี้ อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น นอกจากนี้ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๒๐๙๕/๒๕๖๕ พิพากษาให้ศาลล้มละลายกลาง
มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลเมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งใหม่ ต่อมาศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โดยมิได้มีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม
ชั้นอุทธรณ์ในคดีดังกล่าวให้ครบถ้วน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงเห็นสมควรสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์คดีดังกล่าวให้ครบถ้วน
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้านที่คิดค่าธรรมเนียมจากกองทรัพย์สินของจำเลย ๑๗,๖๖๔,๔๓๓.๒๖ บาท ตามบัญชีแสดงรายการรับ - จ่ายเงินสิ้นสุดเพียงวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๔
ให้ผู้คัดค้านส่งเงินดังกล่าวไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ พ ๑๙๔๒/๒๕๖๐
ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้เพื่อดำเนินการต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลล้มละลายกลางและชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้เป็นพับ.
(พิสุทธิ์ ศรีขจร – ฐานิต ศิริจันทร์สว่าง - สมจิตร์ ปอพิมาย)
สรายุทธ์ เตชะวุฒิพันธุ์ - ย่อ
ปวีณา แสงสว่าง - ตรวจ