คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 5353/2566 นาย ค. โจทก์
บริษัท ศ. กับพวก จำเลย
ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕), ๒๔๓ (๑)
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๘ วรรคสอง, ๑๒๓, ๑๒๔, ๑๒๕
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 31
พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๓ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงินอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัตินี้
และลูกจ้างมีความประสงค์ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ลูกจ้างมีสิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน...” บทบัญญัติดังกล่าวเป็นกรณีที่กฎหมายให้สิทธิลูกจ้าง
ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานนอกเหนือจากการใช้สิทธิฟ้องร้องนายจ้างต่อศาลแรงงาน
เมื่อลูกจ้างยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานแล้ว พนักงานตรวจแรงงานจะทำการสอบสวนข้อเท็จจริงและมีคำสั่งตามมาตรา ๑๒๔ หากลูกจ้างไม่พอใจคำสั่งไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนจะต้องนำคดีไปสู่ศาล โดยต้องฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง เพื่อให้ศาลแรงงานพิจารณาอีกครั้งหนึ่งตามมาตรา ๑๒๕ วรรคหนึ่ง ดังนั้น
แม้จะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรงว่าเมื่อลูกจ้างได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานแล้วจะไม่มีสิทธิยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานอีก แต่บทบัญญัติมาตรา ๑๒๓ ถึงมาตรา ๑๒๕ เป็นกระบวนการทางเลือกอีกทางหนึ่งซึ่งเมื่อลูกจ้างเลือกดำเนินการโดยยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานแล้วจะต้องดำเนินการไปจนเสร็จสิ้น บทบัญญัติดังกล่าวมีลักษณะกำหนดให้ลูกจ้างเลือกใช้สิทธิทางใดทางหนึ่งแต่เพียงทางเดียว โดยใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลแรงงานหรือใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงาน
ตรวจแรงงานทางใดทางหนึ่ง แต่จะใช้สิทธิทั้งสองทางหาได้ไม่ คดีนี้โจทก์ในฐานะลูกจ้างเลือกใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานว่า จำเลยทั้งสองในฐานะนายจ้างเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการ
และคุ้มครองแรงงานจังหวัดจันทบุรี สอบสวนและมีคำสั่งที่ ๖/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ ว่า โจทก์ได้ยื่นใบลาออกให้แก่จำเลยทั้งสองจึงไม่ใช่การเลิกจ้างตามมาตรา ๑๑๘ วรรคสอง
แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ จำเลยทั้งสองไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ หากโจทก์ไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน โจทก์ต้องนำคดี
ไปสู่ศาลเพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าวภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่ง เมื่อโจทก์ทราบคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔ และยื่นฟ้องศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันดังกล่าว โดยโจทก์บรรยายฟ้องในข้อ ๔ ว่า เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ โจทก์ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานตรวจแรงงานจังหวัดปทุมธานีว่า จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการ
และคุ้มครองแรงงานจังหวัดจันทบุรี ได้วินิจฉัยและมีคำสั่งที่ ๖/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ ว่า โจทก์เขียนใบลาออกให้จำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้าง
แทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากโจทก์ถูกจำเลยที่ ๒ แสดงเจตนาลวงให้ลงลายมือชื่อส่งคืนทรัพย์สินแต่กลายเป็นการลงชื่อในหนังสือลาออก แม้ตาม
คำบรรยายฟ้องดังกล่าวจะแสดงให้เห็นแล้วว่า โจทก์ไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานและโจทก์
ได้ฟ้องคดีภายในกำหนดระยะเวลาสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน
ก็ตาม แต่ปรากฏว่าโจทก์ยื่นฟ้องเฉพาะจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายจ้างโดยมิได้ฟ้องพนักงานตรวจแรงงานเป็นจำเลยด้วย ทั้งโจทก์มีคำขอแต่เฉพาะให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โดยไม่ได้ขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดจันทบุรีที่ ๖/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ มาด้วย เมื่อพิจารณาประกอบรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๕ ซึ่งโจทก์ได้แถลงรับว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดจันทบุรีที่ ๖/๒๔๖๔
ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ แต่อย่างใด สภาพของคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิเดิม จึงถือไม่ได้ว่าคำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องเพื่อประสงค์จะให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน
ตามมาตรา ๑๒๕ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายจ้างเพื่อให้จ่ายค่าชดเชย
และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โดยอาศัยสิทธิเดียวกันกับที่ไปยื่นคำร้องต่อพนักงาน
ตรวจแรงงานและพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งในเงินดังกล่าวแล้วอีกได้ ซึ่งปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง
เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใด
ยกขึ้นอ้าง ศาลแรงงานภาค ๒ ก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบ
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา 31
______________________________
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
๓๒,๓๑๕ บาท และค่าชดเชย ๙๒,๓๓๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน
๑๒๑,๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยาน ศาลเห็นว่าคดีมีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้
จึงมีคำสั่งให้งดการสืบพยาน ตามข้อกำหนดศาลแรงงานว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณา
ในศาลแรงงาน พ.ศ. ๒๕๕๖ ข้อ ๓๙
ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค ๒ ฟังข้อเท็จจริง
เป็นที่ยุติแล้ววินิจฉัยว่า คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับข้อเท็จจริงร่วมกันว่า จำเลยที่ ๑ ว่าจ้างโจทก์
เข้าทำงานเป็นลูกจ้างเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ โจทก์ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ
๓๐,๐๐๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ ๒๕ ของเดือน เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ โจทก์ยื่น
คำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานว่าจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ และนางสาวเพ็ชรี เลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการ
และคุ้มครองแรงงานจังหวัดจันทบุรี มีคำสั่งที่ ๖/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โจทก์ไม่ได้ฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงาน
ตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดจันทบุรีที่ ๖/๒๕๖๔ ลงวันที่
๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ แต่อย่างใด และวินิจฉัยว่า โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างเคยร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานว่า จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ และนางสาวเพ็ชรีเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดจันทบุรี มีคำสั่งที่ ๖/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โดยไม่ได้มีการบรรยายฟ้องหรือมีคำขอท้ายฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดจันทบุรีที่ ๖/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔
จึงไม่ใช่กรณีที่โจทก์ประสงค์จะเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน อันจะถือว่าเป็นการขอให้เพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๕
เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานภายใน ๓๐ วันนับแต่วันทราบคำสั่ง
ของพนักงานตรวจแรงงาน คำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดจันทบุรีที่ ๖/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ ที่วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย
และค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจึงเป็นที่สุด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า อันเป็นการโต้แย้งคำสั่งอันถึงที่สุดแล้วได้ ซึ่งปัญหาอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจ
หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นอีกต่อไป
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองให้จ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๒๓ บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงิน
อย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัตินี้ และลูกจ้างมีความประสงค์ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการ
ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ลูกจ้างมีสิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน...” บทบัญญัติดังกล่าว
เป็นกรณีที่กฎหมายให้สิทธิลูกจ้างยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานนอกเหนือจากการใช้สิทธิฟ้องร้องนายจ้างต่อศาลแรงงาน เมื่อลูกจ้างยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานแล้ว พนักงานตรวจแรงงาน
จะทำการสอบสวนข้อเท็จจริงและมีคำสั่งตามมาตรา ๑๒๔ หากลูกจ้างไม่พอใจคำสั่งไม่ว่าทั้งหมด
หรือแต่บางส่วนจะต้องนำคดีไปสู่ศาล โดยต้องฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานภายในสามสิบวันนับแต่ทราบคำสั่ง เพื่อให้ศาลแรงงานพิจารณาอีกครั้งหนึ่งตามมาตรา ๑๒๕ วรรคหนึ่ง ดังนั้น แม้จะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรงว่าเมื่อลูกจ้างได้ใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานแล้ว
จะไม่มีสิทธิยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานอีก แต่บทบัญญัติมาตรา ๑๒๓ ถึงมาตรา ๑๒๕ เป็นกระบวนการทางเลือกอีกทางหนึ่งซึ่งเมื่อลูกจ้างเลือกดำเนินการโดยยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานแล้ว
จะต้องดำเนินการไปจนเสร็จสิ้น บทบัญญัติดังกล่าวมีลักษณะกำหนดให้ลูกจ้างเลือกใช้สิทธิทางใดทางหนึ่งแต่เพียงทางเดียว โดยใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลแรงงานหรือใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน
ทางใดทางหนึ่ง แต่จะใช้สิทธิทั้งสองทางหาได้ไม่ คดีนี้โจทก์ในฐานะลูกจ้างเลือกใช้สิทธิยื่นคำร้อง
ต่อพนักงานตรวจแรงงานว่า จำเลยทั้งสองในฐานะนายจ้างเลิกจ้างโจทก์โดยไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดจันทบุรีสอบสวนและมีคำสั่งที่ ๖/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ ว่า โจทก์ได้ยื่นใบลาออกให้แก่
จำเลยทั้งสองจึงไม่ใช่การเลิกจ้างตามมาตรา ๑๑๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ หากโจทก์ไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าว โจทก์ต้องนำคดีไปสู่ศาลเพื่อขอให้
เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าวภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง คดีนี้โจทก์ทราบคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๔ และยื่นฟ้องศาลภายในสามสิบวันนับแต่
วันดังกล่าว โดยโจทก์ได้บรรยายฟ้องในข้อ ๔ ว่า เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ โจทก์ได้ร้องทุกข์
ต่อพนักงานตรวจแรงงานจังหวัดปทุมธานีว่า จำเลยทั้งสองเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดจันทบุรีได้วินิจฉัยและมีคำสั่งที่ ๖/๒๕๖๔ ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ ว่า โจทก์เขียนใบลาออกให้
จำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าให้แก่โจทก์ โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากโจทก์ถูกจำเลยที่ ๒ แสดงเจตนาลวงให้ลงลายมือชื่อส่งคืนทรัพย์สินแต่กลายเป็นการลงชื่อในหนังสือลาออก แม้ตามคำบรรยายฟ้องดังกล่าวจะแสดง
ให้เห็นแล้วว่า โจทก์ไม่พอใจคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานและโจทก์ได้ฟ้องคดีภายในกำหนดระยะเวลาสามสิบวันนับแต่วันทราบคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานก็ตาม แต่ปรากฏว่าโจทก์ยื่นฟ้องเฉพาะ
จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายจ้างโดยมิได้ฟ้องพนักงานตรวจแรงงานเป็นจำเลยด้วย ทั้งโจทก์มีคำขอ
แต่เฉพาะให้จำเลยทั้งสองจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โดยไม่ได้ขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดจันทบุรีที่ ๖/๒๕๖๔ ลงวันที่
๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ มาด้วย เมื่อพิจารณาประกอบรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๕ ซึ่งโจทก์ได้แถลงรับว่า โจทก์ไม่ได้ฟ้องเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานสวัสดิการ
และคุ้มครองแรงงานจังหวัดจันทบุรีที่ ๖/๒๔๖๔ ลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๔ แต่อย่างใด สภาพของคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการฟ้องโดยอาศัยสิทธิเดิม จึงถือไม่ได้ว่าคำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องเพื่อประสงค์
จะให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานตามมาตรา ๑๒๕ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง
ซึ่งเป็นนายจ้างเพื่อให้จ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า โดยอาศัยสิทธิเดียวกัน
กับที่ไปยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานและพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งในเงินดังกล่าวแล้วอีกได้ ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้เกี่ยวกับการที่โจทก์ไม่ได้ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้สละข้อต่อสู้ในประเด็นการฟ้องขอเพิกถอนคำสั่ง
ของพนักงานตรวจแรงงานแล้ว การที่ศาลแรงงานภาค ๒ หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยเองเป็นการไม่ชอบ
เห็นว่า ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้าง ศาลแรงงานภาค ๒ ก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณา
คดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ ที่ศาลแรงงานภาค ๒ พิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว อุทธรณ์
ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
(พนารัตน์ คิดจิตต์ – วรศักดิ์ จันทร์คีรี – ฤทธิรงค์ สมอุดร)
อิศเรศ ปราโมช ณ อยุธยา – ย่อ
ประสิทธิ์ ดวงตะวงษ์ – ตรวจ