Print
Category: 2562
Hits: 596

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๑๗๑๒/๒๕๖๒  บริษัทแจแปนเร้นท์ (ประเทศไทย)

                                                                       จำกัด  (มหาชน)                        โจทก์

                                                                       นางสาวอาภรณ์  คูณยา กับพวก          จำเลย

พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑  มาตรา  ๕,  ๒๔

ที่จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่า การทำงานล่วงเวลาเป็นการทำงานต่อเนื่องจากการทำงานปกติ
ในวันทำงาน กฎหมายมิได้กำหนดไว้ว่า ลูกจ้างต้องทำงานเป็นเวลานานเท่าใดจึงจะมีสิทธิได้รับ
ค่าทำงานล่วงเวลา เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นว่าโจทก์กำหนดให้มีการประชุมลูกจ้างทุกวันอังคาร
และวันพุธทุกสัปดาห์หลังเลิกงาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจงาน อบรมให้ความรู้แก่ลูกจ้าง และเป็นวิธีการสื่อสารนโยบายและแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในองค์กร การประชุมดังกล่าวเพื่อให้ลูกจ้างมีความเข้าใจในงาน มีความรู้ตรงกันเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ จึงต้องถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติหน้าที่ของลูกจ้างด้วยและเป็นการปฏิบัติงานนอกเวลาทำงานปกติ ซึ่งลูกจ้างที่ไม่เข้าร่วมประชุมต้องแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้า จึงเป็นขั้นตอนที่โจทก์ให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลานอกเหนือจากเวลาทำงานปกติแล้ว แม้การทำงานล่วงเวลาจำเลยที่ ๑ กับโจทก์จะไม่มีการตกลงกันโดยชัดแจ้ง และไม่ได้ขออนุมัติทำงานล่วงเวลาตามระเบียบของโจทก์ก็ตาม แต่พฤติการณ์ของของนายจ้างกับลูกจ้างดังกล่าวข้างต้น ถือว่ามีการตกลงกันโดยปริยายให้มีการทำงานล่วงเวลาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๒๔ แล้ว เห็นว่า พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ บัญญัติว่า ค่าล่วงเวลา หมายความว่า “เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน” และมาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง  บัญญัติว่า “ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน เว้นแต่ได้รับความยินยอม
จากลูกจ้างก่อนเป็นคราวๆ ไป” กับกฎ ระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับทำงานของโจทก์ หมวดที่ ๖
ว่าด้วย การทำงานล่วงเวลา และการทำงานในวันหยุด ข้อ ๖.๑.๓ ระบุว่า “การทำงานล่วงเวลาหรือการทำงานในวันหยุดของพนักงานทุกครั้งจะต้องได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาตามสายงานตามลำดับก่อน และเมื่อกรรมการผู้จัดการได้พิจารณาอนุมัติ พนักงานจึงจะสามารถทำงานล่วงเวลาหรือทำงานในวันหยุดได้” จากบทบัญญัติของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของโจทก์ดังกล่าว
จะเห็นได้ว่า ค่าล่วงเวลาจะต้องเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างตอบแทนการทำงานล่วงเวลา
ในวันทำงาน การที่โจทก์จัดให้มีการประชุมลูกจ้างทุกวันอังคารและวันพุธของทุกสัปดาห์นอกเวลาทำงานปกติ เพื่อทำความเข้าใจงาน อบรมให้ความรู้แก่ลูกจ้าง และเป็นวิธีการสื่อสารนโยบาย
และแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในองค์กรเป็นการบริหารจัดการภายในองค์กรเพื่อให้การทำงานขององค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาดในการทำงาน เพิ่มพูนความรู้แก่ลูกจ้าง จึงเป็นการประชุมเพื่อประโยชน์แก่ทุกฝ่าย มิใช่เรื่องที่ทำไปเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างแต่เพียงฝ่ายเดียว การเข้าร่วมประชุมของลูกจ้างดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการทำงานให้แก่นายจ้างนอกเวลาทำงานปกติอันจะถือว่าเป็นการทำงานล่วงเวลา นอกจากนี้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์เคยยินยอมให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาโดยมิต้องขออนุมัติจากผู้บังคับบัญชาตามสายงานก่อนตามที่ระบุไว้ในกฎ ระเบียบ ข้อบังคับของโจทก์ อันจะพอถือเป็นปริยายได้ว่ามีการตกลงให้จำเลยที่ ๑ ทำงานล่วงเวลาโดยมิต้องขออนุมัติจากผู้บังคับบัญชาก่อน ประกอบกับข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบว่า
การประชุมพนักงานในทุกวันอังคารและวันพุธในช่วงเวลาหลังเลิกงานนั้น พนักงานของโจทก์
จะเข้าร่วมประชุมหรือไม่ก็ได้ ดังที่จำเลยที่ ๒ กล่าวอ้างในอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของจำเลยที่ ๒
ที่ให้โจทก์จ่ายค่าล่วงเวลาแก่จำเลยที่ ๑ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ
ของโจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๒ จึงชอบแล้ว อุทธรณ์
ของจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น

______________________________

         โจทก์ฟ้อง ขอให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักสวัสดิการคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานคร พื้นที่ ๓ ที่ ๘๙/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๖๐ ที่จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ออกคำสั่ง

         จำเลยที่ ๑ ขาดนัด

         จำเลยที่ ๒ ให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน สำนักสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรุงเทพมหานคร พื้นที่ ๓ ที่ ๘๙/๒๕๖๐ ระหว่างจำเลยที่ ๑ ผู้ยื่นคำร้องกับโจทก์นายจ้าง

         จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นว่า จำเลยที่ ๑ เคยเป็นลูกจ้างโจทก์โดยทำงานตั้งแต่วันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๔,๐๐๐ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้าง
ทุกวันสิ้นเดือน โจทก์มีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๐ โจทก์ได้รับคำสั่งของจำเลยที่ ๒ ให้จ่ายค่าล่วงเวลาจำนวน ๒๗,๒๒๑.๒๕ บาท แก่จำเลยที่ ๑ แล้ววินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ทำงานล่วงเวลา จึงมีเหตุอันสมควรให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๒

         คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ว่ามีเหตุอันควรเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๒ หรือไม่ เห็นว่า พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๕ บัญญัติว่า ค่าล่วงเวลา หมายความว่า “เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน” และมาตรา ๒๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไป” กับกฎ ระเบียบ ข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์ หมวดที่ ๖
ว่าด้วยการทำงานล่วงเวลา และการทำงานในวันหยุด ข้อ ๖.๑.๓ ระบุว่า “การทำงานล่วงเวลา หรือการทำงานในวันหยุดของพนักงานทุกครั้งจะต้องได้รับอนุมัติจากผู้บังคับบัญชาตามสายงานตามลำดับก่อน และเมื่อกรรมการผู้จัดการได้พิจารณาอนุมัติ พนักงานจึงจะสามารถทำงานล่วงเวลาหรือทำงานในวันหยุดได้” จากบทบัญญัติของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของโจทก์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ค่าล่วงเวลาจะต้อง
เป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างตอบแทนการทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน การที่โจทก์จัดให้มี
การประชุมลูกจ้างทุกวันอังคารและวันพุธของทุกสัปดาห์นอกเวลาทำงานปกติ เพื่อทำความเข้าใจงาน อบรมให้ความรู้แก่ลูกจ้าง และเป็นวิธีการสื่อสารนโยบายและแลกเปลี่ยนข้อมูลภายในองค์กร
เป็นการบริหารจัดการภายในองค์กรเพื่อให้การทำงานขององค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ลดข้อผิดพลาดในการทำงาน เพิ่มพูนความรู้แก่ลูกจ้าง จึงเป็นการประชุมเพื่อประโยชน์แก่ทุกฝ่ายมิใช่เรื่องที่ทำไปเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างแต่เพียงฝ่ายเดียว การเข้าร่วมประชุมของลูกจ้างดังกล่าวจึงมิใช่เป็นการทำงานให้แก่นายจ้างนอกเวลาทำงานปกติอันจะถือว่าเป็นการทำงานล่วงเวลา นอกจากนี้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์เคยยินยอมให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาโดยมิต้องขออนุมัติจากผู้บังคับบัญชาตามสายงานก่อนตามที่ระบุไว้ในกฎ ระเบียบ ข้อบังคับของโจทก์ อันจะพอถือเป็นปริยายได้ว่ามีการตกลงให้จำเลยที่ ๑ ทำงานล่วงเวลาโดยมิต้องขออนุมัติจากผู้บังคับบัญชาก่อน ประกอบกับข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบว่า การประชุมพนักงานในทุกวันอังคารและวันพุธในช่วงเวลาหลังเลิกงานนั้น พนักงานของโจทก์จะเข้าร่วมประชุมหรือไม่ก็ได้ ดังที่จำเลยที่ ๒ กล่าวอ้างในอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของจำเลยที่ ๒ ที่ให้โจทก์จ่ายค่าล่วงเวลาแก่จำเลยที่ ๑ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกฎ ระเบียบ ข้อบังคับของโจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ ๒ จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น

         พิพากษายืน.

(ดำรงค์  ทรัพยผล – อนันต์  คงบริรักษ์ – วัฒนา  สุขประดิษฐ์)

สุเจตน์  สถาพรนานนท์ – ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ – ตรวจ