Print
Category: 2562
Hits: 35

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ ๔๗๑/๒๕๖๒  นางพรนราช เปลี่ยนวงษ์                    โจทก์ 

  บริษัทโจโฮคุ (ประเทศไทย) จํากัด        จําเลย 

ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง 

พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา 1๓, ๑๔, 1๕, ๑๖, ๑๗, ๑8, ๑๙, ๒๐ 

 

         ประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๒/๒๕๕๔ เรื่องการปรับค่าจ้างประจําปี ๒๕๕๔ ลงวันที่
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ออกตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างจําเลยกับผู้แทน
สหภาพแรงงาน ซึ่งกําหนดให้จําเลยมีแบบประเมินผลการปฏิบัติงานประจําปีของลูกจ้าง กําหนด
ตารางการขึ้นค่าจ้างลูกจ้างรายเดือนเป็น ๔ เกรดคือเกรด
A เกรด B เกรด C และเกรด D ซึ่งจะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างอัตราร้อยละ 6 ร้อยละ ๔ ร้อยละ ๓ และร้อยละ ๒ ตามเกรดที่ได้รับการประเมินตามลําดับ แต่ต่อมาจําเลยออกประกาศฝ่ายเดียวตามประกาศเลขที่ จฮ.บก.001/๒๕๕๘ ประกาศเลขที่ จฮ.บค.001/๒๕๕๙ และประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๖๐ แก้ไขเปลี่ยนแปลง
แบบประเมินผลการปฏิบัติงานประจําปีของลูกจ้าง โดยกําหนดตารางการปรับขึ้นค่าจ้างลูกจ้าง
รายเดือนเป็น ๕ เกรดคือเกรด A เกรด B เกรด C เกรด D และเกรด E ซึ่งจะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างอัตราร้อยละ ๕ ร้อยละ ๔ ร้อยละ ๓ ร้อยละ ๒ และร้อยละ ๐ ตามลําดับ โดยหากลูกจ้างรายเดือน
ได้รับการประเมินในระดับเกรด E จะไม่ได้รับการขึ้นค่าจ้างประจําปี ซึ่งไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง
โดยไม่ปรากฏว่าจําเลยแจ้งข้อเรียกร้องต่อลูกจ้างและดําเนินการตามขั้นตอนจนมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับใหม่ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๓ ถึงมาตรา ๑๙ จึงเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ขัดแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
ฉบับเดิมที่เกิดจากข้อเรียกร้องโดยไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้างตามมาตรา ๒๐ ประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๕๘ ประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๕๙ และประกาศเลขที่ 
จฮ.บค.001/๒๕๖๐ ย่อมไม่มีผลใช้บังคับ จําเลยต้องถือตามประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๒/๒๕๕๔ อันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับเดิม 

เงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง
ยังไม่มีสภาพเป็นค่าจ้างจึงไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แต่เป็นหนี้เงินที่คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัด
ได้ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าทวงถามจึงถือว่าผิดนัดนับแต่วันฟ้อง
 

______________________________

 

         โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามประกาศเลขที่ จฮ.บค ๐๐๒/๒๕๕๔ จ่ายค่าจ้างค้างจ่าย ๓,๗๕๐.๔๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

         จำเลยให้การว่า ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลแรงงานกลาง พิพากษายกฟ้อง

         โจทก์อุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติตามคำฟ้อง คำให้การ    ทางนำสืบของคู่ความที่ไม่ขัดแย้งกัน และตามที่ศาลแรงงานกลางฟังมาว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๓๔ จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างตำแหน่งสุดท้าย              ผู้ช่วยหัวหน้างาน ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ ๑๓,๔๓๖ บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่
๒๕ ของทุกเดือน ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๓ จำเลยทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง                  กับผู้แทนสหภาพแรงงานนิวโจโฮคุ ตามสำเนาข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างบริษัทโจโฮคุ (ประเทศไทย) จำกัด กับสหภาพแรงงานนิวโจโฮคุ ซึ่งในข้อ ๒ เรื่องการประเมินผลงานประจำปีนั้น กำหนดให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างไปปรับปรุงแบบการประเมินผลการปฏิบัติงานของลูกจ้างให้ได้รับ      ความเป็นธรรมในการปรับขึ้นค่าจ้างประจำปี เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ จำเลยออกประกาศ เลขที่ จฮ.บค. ๐๐๒/๒๕๕๔ เรื่องการปรับเงินค่าจ้างประจำปี ๒๕๕๔ ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีของลูกจ้าง โดยมีแบบประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปี กำหนดคะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน ซึ่งจำเลยจะดำเนินการประเมินผลงานลูกจ้างเป็นรายบุคคลคือให้คะแนนแล้วตัดเกรด คะแนน ๙๑ – ๑๐๐ คะแนนจะได้เกรด A คะแนน
๘๑ – ๙๐ คะแนนจะได้เกรด B คะแนน ๖๑ – ๘๐ คะแนนจะได้เกรด C และคะแนน ๖๐ ลงมาจะได้เกรด D ซึ่งกลุ่มลูกจ้างรายเดือนจะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างดังนี้ เกรด A เกรด B เกรด C  และเกรด D จะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างอัตราร้อยละ ๖ ร้อยละ ๔ ร้อยละ ๓ และร้อยละ ๒ ตามลำดับ ตามสำเนาประกาศ เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข ๓ แต่ต่อมาในปี ๒๕๕๘ และ ๒๕๕๙ จำเลยออกประกาศเลขที่ จฮ.บค. ๐๐๑/๒๕๕๘ และประกาศเลขที่ จฮ.บค. ๐๐๑/๒๕๕๙ กำหนดให้เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีที่ผ่านมาของลูกจ้างเสียใหม่ โดยคะแนน ๙๑ – ๑๐๐ คะแนน
จะได้เกรด A คะแนน ๘๑ – ๙๐ คะแนนจะได้เกรด B คะแนน ๖๑ – ๘๐ คะแนนจะได้เกรด C
คะแนน ๕๑ – ๖๐ คะแนนจะได้เกรด D และคะแนน ๕๐ ลงมาจะได้เกรด E ซึ่งกลุ่มลูกจ้างรายเดือน
จะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างดังนี้ เกรด A เกรด B เกรด C เกรด D และเกรด E จะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างอัตราร้อยละ ๕ ร้อยละ ๔ ร้อยละ ๓ ร้อยละ ๒ และร้อยละ ๐ ตามลำดับ ซึ่งการประเมินผล
การปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๕๘ โจทก์ได้รับการประเมินในเกรด E เป็นเหตุให้ไม่ได้รับการปรับขึ้นค่าจ้าง              ซึ่งหากใช้หลักเกณฑ์ โจทก์จะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างของรอบ ๑๒ เดือนถัดไป รวมเป็นเงิน ๓๐๘๙.๕๒ บาท และในปี ๒๕๖๐ จำเลยออกประกาศเลขที่ จฮ.บค. ๐๐๑/๒๕๖๐ กำหนดให้เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีที่ผ่านมาของลูกจ้างจำเลยอีก โดยลูกจ้างรายเดือนที่ได้ เกรด A   เกรด B เกรด C เกรด D และเกรด E จะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างอัตราร้อยละ ๔ ร้อยละ ๓ ร้อยละ ๒ ร้อยละ ๑ และร้อยละ ๐ ตามลำดับ ซึ่งการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๕๙ โจทก์ได้รับ
การประเมินในเกรด C ได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างอัตราร้อยละ ๒ ซึ่งหากใช้หลักเกณฑ์ โจทก์จะได้รับ
การปรับขึ้นค่าจ้างเป็นอัตราร้อยละ ๓ และได้รับเงินส่วนต่างร้อยละ ๑ สำหรับระยะเวลา ๕ เดือน
รวมเป็นเงิน ๖๖๐.๙๕ บาท แล้ววินิจฉัยว่า ประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๕๘ ประกาศเลขที่
จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๕๙ และประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๖๐ เป็นการบริหารงานจำเลยเพื่อให้ลูกจ้างทราบว่า ในการปฏิบัติงานในแต่ละปีนั้นจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ทั้งลูกจ้างจะต้องปฏิบัติงานให้มี
คุณภาพให้คุ้มกับค่าจ้าง เมื่อจำเลยกำหนดแบบการประเมินเพื่อปรับค่าจ้างให้ลูกจ้างในแต่ละปีโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกลั่นแกล้งโจทก์หรือลูกจ้างรายอื่น จำเลยออกประกาศทั้งสามฉบับดังกล่าวไม่เป็นการขัดต่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแต่อย่างใด และเป็นการประเมินผลการปฏิบัติงานของลูกจ้างโดยชอบแล้ว                    จึงไม่กำหนดให้จำเลยต้องรับผิดชำระค่าจ้างที่โจทก์อ้างว่าต้องปรับขึ้นและค้างจ่ายในปี ๒๕๕๘ และ ๒๕๕๙ เป็นเงิน ๓,๗๕๐ (ที่ถูก ๓,๗๕๐.๔๗) บาท

         มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การที่จำเลยออกประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๕๘ ประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๕๙ และประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๖๐ ในเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างประจำปีเป็นการขัดต่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือไม่ และจำเลยจะต้องชำระเงินที่ต้องปรับขึ้นอัตราค่าจ้าง ๓๗๕๐.๔๗ บาท ให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๒/๒๕๕๔ เรื่องการปรับเงินค่าจ้างประจำปี ๒๕๕๔ ลงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ออกตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้องระหว่างบริษัทจำเลยกับผู้แทนสหภาพแรงงานนิวโจโฮคุ ฉบับลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๓ ข้อ ๒ ซึ่งกำหนดให้จำเลยมีแบบประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีของลูกจ้างจำเลย โดยกำหนดตารางการปรับขึ้นค่าจ้างลูกจ้างรายเดือนเป็น ๔ เกรด คือ เกรด A เกรด B เกรด C และเกรด D ซึ่งจะได้รับการปรับขึ้นค่าจ้างอัตราร้อยละ ๖ ร้อยละ ๔ ร้อยละ ๓ และร้อยละ ๒ ตามเกรดที่ได้รับการประเมินดังกล่าวตามลำดับ แต่ต่อมาจำเลยออกประกาศฝ่ายเดียว ตามประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๕๘ ประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๕๙ และประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๖๐ แก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีของลูกจ้างโดยกำหนดตารางการปรับขึ้นค่าจ้างลูกจ้างรายเดือนเป็น ๕ เกรด คือ เกรด A เกรด B เกรด C เกรด D และเกรด E ซึ่งจะได้รับ
การปรับขึ้นค่าจ้างอัตราร้อยละ ๕ ร้อยละ ๔ ร้อยละ ๓ ร้อยละ ๒ และร้อยละ ๐ ตามลำดับ โดยหากลูกจ้างรายเดือนได้รับการประเมินในระดับเกรด E จะไม่ได้รับการขึ้นค่าจ้างประจำปี ซึ่งไม่เป็นคุณต่อลูกจ้างโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยแจ้งข้อเรียกร้องต่อลูกจ้างและดำเนินการตามขั้นตอนจนมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับใหม่ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๓ ถึง มาตรา ๑๙ จึงเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ขัดแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับเดิมที่เกิดจากข้อเรียกร้องโดยไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๒๐ ประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๕๘ ประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๕๙ และประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๑/๒๕๖๐ จึงไม่มีผลบังคับใช้ จำเลยต้องถือตามประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๒/๒๕๕๔ อันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับเดิม จำเลยจึงต้องชำระเงินที่ต้องปรับขึ้นอัตราค่าจ้างตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ๓,๗๕๐.๔๗ บาท ตามฟ้องให้แก่โจทก์ แต่ที่โจทก์ขอดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น เห็นว่า เงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างยังไม่มีสภาพเป็นค่าจ้าง ซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง แต่เป็นหนี้เงินที่คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี              ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ทวงถาม จึงถือว่าจำเลยผิดนัดนับแต่วันฟ้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่แม้ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๗ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์
ของโจทก์ฟังขึ้น

         พิพากษากลับ ให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามประกาศเลขที่ จฮ.บค.๐๐๒/๒๕๕๔ เรื่องการปรับเงินค่าจ้างประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ลงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ กับให้จำเลยจ่ายเงินที่ต้องปรับขึ้นอัตราค่าจ้าง ๓,๗๕๐.๔๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๐) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์.

(กนกรดา  ไกรวิชญพงศ์ - ธีระพล  ศรีอุดมขจร - อนุวัตร ขุนทอง) 

 

วิฑูรย์  ตรีสุนทรรัตน์ – ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ – ตรวจ