Print
Category: 2562
Hits: 51

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 121/2562     บริษัทเด็นโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด   โจทก์

                                                                         นายภานุ ราษฎร์เจริญ                จำเลย

 

พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 14/1

พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง

พ.ร.บ. ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 5

 

          ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า สัญญาการทำงานในต่างประเทศจัดทำขึ้นเพื่อเป็นเอกสารที่ยื่นต่อสำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการเพื่อขออนุญาตพาจำเลยไปต่างประเทศเท่านั้น ประกอบกับสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศมีข้อตกลงระบุว่า โจทก์เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการฝึกอบรมในต่างประเทศรวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ทั้งหมดให้แก่จำเลย และในกรณีที่จำเลยไม่สามารถอยู่ทำงานกับโจทก์ต่อไปเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี นับแต่วันเดินทางกลับมา จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่โจทก์ได้จ่ายไปพร้อมกับเบี้ยปรับเท่ากับค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง ค่าใช้จ่าย และสวัสดิการทั้งหมดที่โจทก์ให้แก่จำเลยทั้งที่จ่ายในประเทศและที่ต่างประเทศอันแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยได้รับประโยชน์จากการได้รับการพัฒนาความรู้ความสามารถของตนจากการไปฝึกอบรมและฝึกงานในต่างประเทศ ส่วนโจทก์ก็ได้รับประโยชน์จากการที่จำเลยต้องกลับมาทำงานพัฒนาองค์กรของโจทก์ภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี ตามที่กำหนดในสัญญา จึงถือได้ว่าสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศเป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อให้มีผลผูกพันกันอย่างแท้จริงตามที่โจทก์และจำเลยตกลงกัน หาใช่เป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่ออำพรางสัญญาการทำงานในต่างประเทศ และมิได้เป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่อย่างใด

          จำเลยตกลงทำสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศ ภายหลัง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 14/1 มีผลบังคับแล้ว กรณีจึงต้องบังคับตามมาตราดังกล่าว โดยหากสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศทำให้โจทก์ได้เปรียบจำเลยเกินสมควรแล้ว ศาลมีอำนาจสั่งให้สัญญานั้นมีผลบังคับเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณี ซึ่งการที่จะถือว่าเป็นการได้เปรียบเกินสมควรในกรณีดังกล่าว ความต้องปรากฏแก่ศาลว่าโจทก์มีสภาพเหนือกว่าจำเลยในลักษณะไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เมื่อสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศดังกล่าวมีลักษณะเป็นการตอบแทนผลประโยชน์ต่อกัน การที่สัญญาดังกล่าวมีข้อตกลงว่าเมื่อจำเลยศึกษาอบรมและฝึกงานในต่างประเทศครบตามที่กำหนดแล้ว จำเลยต้องกลับมาทำงานให้โจทก์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี นับแต่วันเดินทางกลับมา หากทำงานไม่ครบระยะเวลาดังกล่าว จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่โจทก์ได้จ่ายไปพร้อมกับเบี้ยปรับเท่ากับค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง ค่าใช้จ่าย และสวัสดิการทั้งหมดที่โจทก์ให้แก่จำเลยทั้งที่จ่ายในประเทศและที่ต่างประเทศ ถือได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่โจทก์ต้องปกป้องกิจการของตนมิให้สูญเสียบุคคลากรที่ได้ส่งไปศึกษาอบรมและฝึกงานจนมีคุณวุฒิและประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นข้อตกลงที่จำเป็นและเหมาะสม หาได้เป็นกรณีที่โจทก์มีสภาพเหนือกว่าจำเลยในลักษณะไม่เหมาะสมอย่างยิ่งแต่อย่างใด ทั้งจำเลยยังสามารถเลือกที่จะทำงานให้แก่โจทก์ต่อไปเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือชดใช้ค่าใช้จ่ายพร้อมกับเบี้ยปรับตามส่วนของระยะเวลาที่จำเลยกลับมาทำงานให้โจทก์ก็ได้ นอกจากนั้นจำเลยยังมีสิทธิปฏิเสธไม่ตกลงทำสัญญาดังกล่าวได้โดยจำเลยเพียงแต่เสียสิทธิในการเดินทางไปฝึกอบรมและปฏิบัติงานในต่างประเทศเท่านั้น สัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศจึงไม่เข้าลักษณะเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 5

______________________________

 

         โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหาย ๑๒,๐๕๒,๗๗๗.๔๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๘,๘๙๗,๒๘๗ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

         จำเลยให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์ชำระเงิน ๒,๙๗๐,๒๔๐ บาท

         โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง

         ระหว่างพิจารณาของศาลแรงงานกลาง จำเลยแถลงสละประเด็นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่

         ศาลแรงงานกลาง พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๕,๕๑๒,๘๑๐.๐๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
แก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน ๓,๑๕๕,๔๙๐.๔๖ บาท ตามที่โจทก์ขอ และยกฟ้องแย้งของจำเลย

         จำเลยอุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า
เมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๙ จำเลยทำงานเป็นพนักงานของโจทก์ ตำแหน่งพนักงานอาวุโสฝ่ายบุคคล ต่อมาวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาการทำงานในต่างประเทศ หลังจากนั้นวันที่
๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศ และวินิจฉัยว่า โจทก์มีนโยบายในการบริหารคนคือการพัฒนาบุคลากรของโจทก์เพื่อให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นตลอดเวลาโดยการส่งพนักงานไปศึกษาอบรมและฝึกงานในต่างประเทศ ในปี ๒๕๕๕ โจทก์อนุมัติให้จำเลยไปฝึกอบรมที่บริษัทเด็นโซ่ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น โดยโจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาการทำงาน
ในต่างประเทศขึ้นเพื่อใช้ประกอบการยื่นคำขอจดทะเบียนต่อสำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการ
ซึ่งตามเงื่อนไขการไปฝึกอบรมยังต่างประเทศตามประกาศของกรมการจัดหางาน สามารถขออนุญาต
ไปฝึกงานได้เพียง ๑ ปี แต่โจทก์มีนโยบายให้จำเลยไปฝึกงานเป็นเวลา ๑ ปี ๖ เดือน จึงเป็นไปได้ที่โจทก์และจำเลยจะตกลงทำสัญญาดังกล่าวขึ้นเนื่องจากการส่งลูกจ้างไปทำงานในต่างประเทศไม่มีกำหนดระยะเวลา และเมื่อโจทก์ได้รับอนุญาตจากสำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการแล้ว โจทก์และจำเลยจึงตกลงทำสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศขึ้นอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้มีผลผูกพันระหว่างโจทก์
และจำเลย นอกจากนั้นในระหว่างที่จำเลยอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นก็ได้รับเงินหรือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ จากโจทก์
และยังทำรายงานผลการฝึกอบรมส่งถึงผู้บังคับบัญชาจำเลยด้วย กรณีจึงถือได้ว่าสัญญาการทำงาน
ในต่างประเทศจัดทำขึ้นเพื่อเป็นเอกสารที่ยื่นต่อสำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการ ในการขออนุญาตพาจำเลยไปต่างประเทศเท่านั้น สัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศจึงมิได้ทำขึ้นเพื่ออำพรางสัญญาการทำงานในต่างประเทศแต่อย่างใดและข้อตกลงในสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศ
ที่กำหนดให้จำเลยต้องกลับมาทำงานกับโจทก์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๓ ปี นับแต่วันเดินทางกลับมาก็มิได้
เป็นข้อตกลงจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพในการประกอบอาชีพการงาน หรือทำให้จำเลยต้องรับภาระมากกว่า
ที่จะพึงคาดหมายได้ตามปกติจึงไม่ใช่ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องชำระค่าเสียหายตามสัญญาเป็นเงินทั้งสิ้น ๕,๕๑๒,๘๑๐.๐๔ บาท ส่วนเงินที่จำเลยขอให้โจทก์จ่ายเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงนั้น จำเลยไม่มีพยานหลักฐานมาแสดงหักล้างพยานโจทก์ จึงไม่มีสิทธิได้รับเบี้ยเลี้ยงตามฟ้องแย้ง

         มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า สัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงาน
ในต่างประเทศ ฉบับลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่ออำพรางสัญญาการทำงาน
ในต่างประเทศ ฉบับลงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ หรือไม่ เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงแล้วว่า สัญญาการทำงานในต่างประเทศฉบับลงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นเอกสารที่ยื่นต่อสำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อขออนุญาตพาจำเลยไปต่างประเทศเท่านั้น ประกอบกับสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศ ฉบับลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ มีข้อตกลงระบุไว้ในข้อ ๒ ว่า โจทก์เป็นผู้รับผิดชอบค่าเตรียมตัวในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการฝึกอบรมในต่างประเทศ รวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ทั้งหมดให้แก่จำเลย และข้อ ๖ ว่า ในกรณีจำเลยไม่สามารถอยู่ทำงานกับโจทก์ต่อไปเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๓ ปี นับแต่วันที่เดินทางกลับมาจากการศึกษาอบรมและฝึกงาน จำเลยต้อง
ชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่โจทก์ได้จ่ายไปพร้อมกับเบี้ยปรับเท่ากับค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง ค่าใช้จ่าย และสวัสดิการทั้งหมดที่โจทก์ให้แก่จำเลยทั้งที่จ่ายในประเทศไทยและที่ต่างประเทศ อันแสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยได้รับประโยชน์จากการได้รับการพัฒนาความรู้ความสามารถของตนจากการไปฝึกอบรมและฝึกงานในต่างประเทศ ส่วนโจทก์ก็ได้รับประโยชน์จากการที่จำเลยต้องกลับมาทำงานพัฒนาองค์กรของโจทก์ภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๓ ปีตามที่กำหนดในสัญญา กรณีจึงถือได้ว่าสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงาน
ในต่างประเทศ ฉบับลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อให้มีผลผูกพันกันอย่างแท้จริงตามที่โจทก์และจำเลยตกลงกัน หาใช่เป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่ออำพรางสัญญาการทำงานในต่างประเทศ
ฉบับลงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ แต่อย่างใด และเมื่อสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศ
ฉบับลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ เป็นสัญญาที่จัดทำขึ้นเพื่อให้มีผลผูกพันระหว่างโจทก์กับจำเลย
และมีลักษณะเป็นการตอบแทนผลประโยชน์ต่อกัน ส่วนสัญญาการทำงานในต่างประเทศ ฉบับลงวันที่
๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นเอกสารที่ใช้ยื่นต่อสำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อขออนุญาตพาจำเลยไปศึกษาอบรมและฝึกงานในต่างประเทศได้เป็นเวลา ๑ ปี ๖ เดือน และเพื่อความสะดวกในการศึกษาอบรมและฝึกงานในต่างประเทศตามที่โจทก์และจำเลยตกลงกันเท่านั้น หาได้เป็นผลให้สัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศฉบับดังกล่าวเป็นสัญญาที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม
อันดีของประชาชนและตกเป็นโมฆะไม่ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

         ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ข้อเท็จจริงปรากฏจากทางนำสืบของพยานปากเจ้าหน้าที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการฟังได้ว่า โจทก์สามารถนำสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศไป
ยื่นคำขออนุญาตต่อสำนักงานจัดหางานได้และเมื่อครบระยะเวลา ๑ ปี ตามระเบียบของทางราชการแล้ว โจทก์สามารถยื่นคำขออนุญาตส่งตัวจำเลยได้อีกโดยไม่มีระเบียบใด ๆ ห้ามไว้ก็ดี ข้อเท็จจริงปรากฏ
จากคำเบิกความพยานปากผู้รับมอบอำนาจโจทก์ยอมรับว่าตามเอกสารแผ่นที่ ๒ ระบุว่าบริษัทโจทก์
ที่ประเทศญี่ปุ่นเชิญจำเลยมาทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น ทั้งแบบประเมินผลการทำงานของบริษัทโจทก์
ที่ประเทศญี่ปุ่นก็ระบุว่าจำเลยไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่นมิใช่เป็นการฝึกงานก็ดี และในเนื้อหาของสัญญาตามเอกสารย่อหน้าที่ ๒ บรรทัดที่ ๒ ก็ยังระบุข้อความว่าโจทก์ส่งตัวจำเลยไปทำงานต่างประเทศไว้ก็ดีนั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวล้วนแต่เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงาน
และวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย

         มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการต่อไปว่า สัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงาน
ในต่างประเทศ ฉบับลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ มีลักษณะเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า จำเลยตกลงทำสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศ ฉบับลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ กับโจทก์ ภายหลังจากที่ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๔/๑ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลใช้บังคับแล้ว กรณีจึงต้องบังคับตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๔/๑ อันเป็นกฎหมายที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะ โดยหากสัญญาดังกล่าวทำให้โจทก์ได้เปรียบ
จำเลยเกินสมควรแล้วศาลมีอำนาจสั่งให้สัญญานั้นมีผลบังคับเพียงเท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณี
ซึ่งการที่จะถือว่าเป็นการได้เปรียบจนเกินสมควร ในกรณีดังกล่าว ความต้องปรากฏแก่ศาลว่าโจทก์
มีสภาพเหนือกว่าจำเลยในลักษณะไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เมื่อสัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศดังกล่าว จำเลยได้รับประโยชน์โดยได้รับการพัฒนาความรู้ความสามารถของตนจากการไปฝึกอบรม
และปฏิบัติงานในต่างประเทศกับได้รับค่าจ้างและเบี้ยเลี้ยงจากโจทก์ อีกทั้งโจทก์ยังเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการฝึกอบรมและปฏิบัติงานให้ทั้งหมด ส่วนโจทก์ก็ได้รับประโยชน์จากการที่จำเลยต้องกลับมาปฏิบัติงานอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาองค์กรของโจทก์ การที่สัญญาดังกล่าวมีข้อตกลงว่าเมื่อจำเลยศึกษาอบรมและฝึกงานในต่างประเทศครบตามที่กำหนดแล้ว จำเลยต้องกลับมาทำงานให้แก่โจทก์เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๓ ปีนับแต่วันที่จำเลยเดินทางกลับมา หากทำงานไม่ครบระยะเวลาดังกล่าวจำเลยต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่โจทก์ได้จ่ายไปจากการไปศึกษาอบรมและฝึกงานในต่างประเทศ พร้อมทั้งเบี้ยปรับเท่ากับค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง ค่าใช้จ่ายและสวัสดิการทั้งหมดที่ให้แก่จำเลยทั้งที่จ่ายในประเทศและที่ต่างประเทศ ถือได้ว่า
เป็นเรื่องธรรมดาของนายจ้างผู้ประกอบกิจการเช่นโจทก์ที่จะต้องปกป้องกิจการของตนมิให้สูญเสียบุคลากรที่ได้ส่งไปศึกษาอบรมและฝึกงานจนมีคุณวุฒิและประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นข้อตกลงที่โจทก์กำหนดขึ้นเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมแก่การปกป้องกิจการของตน หาได้เป็นกรณีที่โจทก์มีสภาพเหนือกว่าจำเลย
ในลักษณะไม่เหมาะสมอย่างยิ่งแต่อย่างใด อีกทั้งจำเลยยังสามารถเลือกที่จะทำงานให้แก่โจทก์ต่อไปเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๓ ปี หรือชดใช้ค่าใช้จ่ายพร้อมเบี้ยปรับคืนให้โจทก์ตามส่วนของระยะเวลาที่จำเลยกลับมาทำงานให้แก่โจทก์ก็ได้ นอกจากนั้นหากจำเลยเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าวทำให้จำเลยต้องรับภาระสูงเกินกว่า
ที่ควรหรือเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ จำเลยก็มีสิทธิปฏิเสธไม่ตกลงทำสัญญาดังกล่าวได้โดยจำเลยเพียงแต่เสียสิทธิในการเดินทางไปฝึกอบรมและปฏิบัติงานในต่างประเทศเพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเท่านั้น สัญญาการฝึกอบรมปฏิบัติงานในต่างประเทศ ฉบับลงวันที่
๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ จึงไม่เข้าลักษณะเป็นข้อสัญญาที่โจทก์ได้เปรียบจำเลยเกินสมควรตาม พ.ร.บ.
คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๔/๑อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

         ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อ ๔ และข้อ ๕ ว่า การที่ศาลแรงงานกลางรับฟังพยานบุคคลและพยานเอกสารเป็นการไม่ชอบก็ดี ศาลแรงงานกลางนำข้อตกลงในเอกสารมาวินิจฉัยให้สิทธิโจทก์เรียกเอาค่าเสียหายจากจำเลยเป็นเงิน ๕,๕๑๒,๘๑๐.๐๔ บาท เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ดี โจทก์มีหน้าที่
ต้องชำระเบี้ยเลี้ยงตามที่ระบุไว้ในเอกสารก็ดี และการที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเพียงว่าจำเลยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมานำสืบหักล้างพยานโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเบี้ยเลี้ยงเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ดีนั้น เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวล้วนแต่เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและการกำหนดค่าเสียหายของศาลแรงงานกลางอันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้าม
มิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน

         พิพากษายืน.

(ปณิธาน  วิสุทธากร - วิโรจน์  ตุลาพันธุ์ - ไพรัช  โปร่งแสง)

 

ฐานุตร  เล็กสุภาพ - ย่อ

สุโรจน์  จันทรพิทักษ์ - ตรวจ