คําพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษที่ 6368/2562
นางกุลวรรณ ด่านทิพารักษ์ โจทก์
สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. สาขาคลองขลุง ๑ จําเลย
พ.ร.บ. การฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
เมื่อพิจารณาระเบียบฉบับที่ ๑ ระเบียบว่าด้วยเจ้าหน้าที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. สาขาคลองขลุง ๑ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๒๔ ที่ระบุว่า เมื่อเจ้าหน้าที่คนใดทํางานด้วยความเรียบร้อยเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๕ ปี เมื่อออกจากตําแหน่งจะได้รับเงินสะสมและเงินบําเหน็จ เว้นแต่การถูกลงโทษไล่ออก การคํานวณเงินบําเหน็จให้เอาเงินเดือนสุดท้าย
คูณด้วยจํานวนปีที่ทํางาน เศษของปีถ้าถึง ๑๘๐ วันให้คิดเป็น ๑ ปี ถ้าไม่ถึงให้ปัดทิ้ง ส่วนที่จําเลยจ่ายเงินบําเหน็จให้โจทก์เท่ากับเงินสะสมของโจทก์ ๕๘๔,๗๖๓ บาท โดยไม่ได้คํานวณเงินบําเหน็จตามระเบียบดังกล่าว ข้อ ๒๔ ทําให้เงินบําเหน็จที่โจทก์ควรได้รับขาดไป 8๖๗,๙๐๙ บาท โดยอ้างว่าเงินจํานวนดังกล่าวจําเลยยังไม่ได้ตั้งบัญชีเจ้าหนี้กองทุนบําเหน็จไว้ ซึ่งเป็นการขัดต่อระเบียบดังกล่าว อันถือว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หากจําเลยมีความประสงค์จะลดเงินบําเหน็จลงอันเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จําเลยต้องแจ้งข้อเรียกร้องต่อลูกจ้าง
และดําเนินตามขั้นตอนจนมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับใหม่ดังที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ เมื่อจําเลยไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนดังกล่าว จําเลยจึงมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงสภาพการจ้างที่ระบุไว้ในระเบียบฉบับที่ ๑ ระเบียบว่าด้วยเจ้าหน้าที่สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. สาขาคลองขลุง ๑ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๒๔
_____________________________
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินบำเหน็จ ๘๖๗,๙๐๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค ๖ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินบำเหน็จส่วนที่ขาด ๘๖๗,๙๐๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค ๖ ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทฌาปนกิจสงเคราะห์ ตาม พ.ร.บ. การฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕
มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมสวัสดิการช่วยเหลือในการจัดงานศพและสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิก
ที่เสียชีวิต เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๒๕ จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานตำแหน่งสุดท้ายคือเจ้าหน้าที่บัญชี
รับเงินเดือนอัตราสุดท้าย ๔๐,๓๕๒ บาท เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ โจทก์ยื่นใบลาออกจากการ
เป็นพนักงานของจำเลยรวมอายุการทำงาน ๓๖ ปี แล้ววินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ออกประกาศกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง วิธีการจ่ายเงินค่าจัดการศพหรือค่าจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัว การใช้จ่าย และการเก็บรักษาเงินของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ ซึ่งค่าใช้จ่ายเงินจากกองทุนบำเหน็จต้องวางเป็นระเบียบและนำเสนอที่ประชุมใหญ่อนุมัติและต้องให้นายทะเบียนพิจารณา
ให้ความเห็นชอบก่อน จำเลยวางระเบียบฉบับที่ ๑ ว่าด้วยเจ้าหน้าที่สมาคม สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เกษตรลูกค้า ธ.ก.ส. สาขาคลองขลุง ๑ พ.ศ. ๒๕๔๗ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับวิธีการจ่ายเงินบำเหน็จ
โดยเจ้าหน้าที่ของสมาคมต้องยินยอมให้หักเงินเดือนอัตราร้อยละ ๕ เข้าบัญชีสะสมของเจ้าหน้าที่
และถ้าเจ้าหน้าที่คนใดทำงานด้วยความเรียบร้อยเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๕ ปี เมื่อออกจากตำแหน่งจะได้รับเงินสะสมพร้อมกับเงินบำเหน็จ การคำนวณเงินบำเหน็จให้เอาเงินเดือนสุดท้ายคูณ
ด้วยจำนวนปีที่ทำงาน เศษของปีถ้าถึง ๑๘๐ วันให้คิดเป็น ๑ ปี จำเลยต้องจ่ายเงินบำเหน็จให้โจทก์
ตามระเบียบดังกล่าวเต็มตามที่โจทก์เรียกร้อง การที่จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จให้โจทก์รวมไปกับเงินสะสมตามข้อ ๒๒ ของระเบียบดังกล่าว จึงไม่ชอบ และถือว่าระเบียบดังกล่าวเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพ
การจ้างการลดเงินบำเหน็จลงถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณต่อโจทก์ไม่มีผล
ใช้บังคับ
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จแก่โจทก์
ชอบหรือไม่ และต้องจ่ายเงินบำเหน็จแก่โจทก์ หรือไม่เพียงใด เห็นว่า ระเบียบฉบับที่ ๑ ระเบียบว่าด้วยเจ้าหน้าที่สมาคม สมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์เกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. สาขาคลองขลุง ๑ พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ ๒๔ ที่ระบุว่า เมื่อเจ้าหน้าที่คนใดทำงานด้วยความเรียบร้อยเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๕ ปี เมื่อออกจากตำแหน่งจะได้รับเงินสะสมและเงินบำเหน็จ เว้นแต่การถูกลงโทษไล่ออก การคำนวณเงินบำเหน็จให้เอาเงินเดือนสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีที่ทำงาน เศษของปีถ้าถึง ๑๘๐ วันให้คิดเป็น ๑ ปี ถ้าไม่ถึงให้ปัดทิ้ง การที่จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จให้โจทก์เท่ากับเงินสะสมของโจทก์ ๕๘๔,๗๖๓ บาท โดยไม่ได้คำนวณเงินบำเหน็จตามระเบียบดังกล่าว ข้อ ๒๔ ทำให้เงินบำเหน็จที่โจทก์ควรได้รับขาดไป ๘๖๗,๙๐๙ บาท โดยอ้างว่าเงินจำนวนดังกล่าวจำเลยยังไม่ได้ตั้งบัญชีเจ้าหนี้กองทุนบำเหน็จไว้ ซึ่งเป็นการขัดต่อระเบียบดังกล่าว อันถือว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หากจำเลยมีความประสงค์จะลดเงินบำเหน็จลง
อันเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จำเลยต้องแจ้งข้อเรียกร้องต่อลูกจ้างและดำเนินตามขั้นตอนจนมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับใหม่ ดังที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์
พ.ศ. ๒๕๑๘ แต่กรณีนี้ไม่มีการแจ้งข้อเรียกร้องจากจำเลยหรือได้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง
เป็นลายลักษณ์อักษร โดยความเห็นชอบจากนายทะเบียนกลางและถือปฏิบัติติดต่อกันมาเป็นระยะเวลาอันสมควรเพียงพอที่จะถือได้ว่าโจทก์ได้ยินยอมโดยปริยายให้เปลี่ยนข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังกล่าว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลแรงงานภาค ๖ อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
(วิชชุพล สุขสวัสดิ์ – สุจินต์ เชี่ยวชาญศิลป์ - เกื้อ วุฒิปวัฒน์)
สุเจตน์ สถาพรนานนท์ – ย่อ
สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ – ตรวจ