คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 314/2560 บริษัทศิริมหาชัย อุบลราชธานี
จำกัด โจทก์
นายสยาม สุวรรณจู กับพวก จำเลย
ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง
พ.ร.บ. ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 5
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง, 57
ปัญหาตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนั้น แม้อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จะเพิ่งอ้างบทบัญญัติมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวในชั้นอุทธรณ์โดยที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานภาค 3 ก็ตาม ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 57
สัญญาจ้างแรงงานที่มีใจความว่า ภายในระยะเวลา 36 เดือน หลังจากสัญญาจ้างสิ้นสุดลงหรือลูกจ้างพ้นสภาพการเป็นพนักงานไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ๆ ลูกจ้างจะไม่นำข้อมูลการผลิต การค้นคว้าวิจัย การทดสอบผลิตภัณฑ์ การจัดจำหน่ายหรือความลับทางการค้าใด ๆ ที่ลูกจ้างล่วงรู้ไปใช้หรือเปิดเผยหรือเข้าร่วมหรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นการแข่งขันกับกิจการนายจ้างหรือบริษัทในเครือ รวมทั้งภายในระยะเวลา 12 เดือน หลังจากสัญญาจ้างสิ้นสุดลงหรือลูกจ้างพ้นสภาพการเป็นพนักงาน ลูกจ้างจะไม่ประกอบกิจการหรือเข้าร่วมกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดอันอาจเป็นการแข่งขัน หรืออาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้าง เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่รักษาสิทธิและประโยชน์ของคู่กรณีในการประกอบธุรกิจโดยชอบ ไม่เป็นการห้ามลูกจ้างไม่ให้กระทำโดยเด็ดขาดจนไม่อาจดำรงอยู่ได้ และเป็นการห้ามเฉพาะสิ่งที่เป็นการแข่งขันกับงานของนายจ้างและเฉพาะส่วนของงานที่ลูกจ้างเคยทำกับนายจ้าง ลักษณะของข้อสัญญาที่ก่อให้เกิดหนี้ในการงดเว้นการกระทำตามที่กำหนดโดยเจตนาของคู่กรณีเช่นนี้ ไม่เป็นการตัดการประกอบอาชีพของลูกจ้างทั้งหมดเสียทีเดียว เพียงแต่เป็นการห้ามประกอบอาชีพบางอย่างบางพื้นที่ที่เป็นการแข่งขันกับนายจ้างในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่เป็นโมฆะ และไม่เป็นข้อตกลงที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพการงานที่ทำให้ลูกจ้างต้องรับภาระมากกว่าที่จะพึงคาดหมายได้ตามปกติ
ส่วนการอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษกำหนดค่าเสียหายในอัตราที่ต่ำกว่าที่ศาลแรงงานภาค 3 กำหนดมานั้น เป็นอุทธรณ์ที่โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายของศาลแรงงานภาค 3 เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง
______________________________
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหาย 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดและขาดนัดพิจารณา
ศาลแรงงานภาค 3 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 90,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 พฤษภาคม 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามสัญญาค้ำประกันเป็นเงิน 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 เคยเป็นลูกจ้างโจทก์ ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ประสานงานพิเศษแผนกค้าปลีก ต่อมาจำเลยที่ 1 ลาออกจากการเป็นลูกจ้างของโจทก์แล้วไปสมัครทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทอุบลวัสดุ จำกัด ซึ่งยังอยู่ภายในระยะเวลาที่ต้องห้ามตามสัญญาจ้างงาน ทั้งที่ตั้งสำนักงานของโจทก์และบริษัทอุบลวัสดุ จำกัด ที่ทำงานใหม่ของจำเลยที่ 1 ต่างก็มีที่ตั้งสำนักงานแห่งใหญ่อยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีเช่นเดียวกันตามหนังสือรับรองสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท โดยบริษัททั้งสองต่างประกอบกิจการขายวัสดุและอุปกรณ์การก่อสร้างและเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นเดียวกัน ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า สัญญาจ้างงาน ข้อ 11 และ ข้อ 12 เป็นข้อจำกัดห้ามประกอบอาชีพอันเป็นการปิดทางทำมาหาได้ของจำเลยที่ 1 เป็นข้อตกลงที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงเป็นโมฆะ และเป็นข้อตกลงที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพการงานที่ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องรับภาระมากกว่าที่พึงคาดหมาย ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 5 นั้น แม้อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ที่อ้างบทบัญญัติมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานภาค 3 ก็ตาม แต่เนื่องจากปัญหาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงมีอำนาจรับวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 57
เมื่อพิจารณาสัญญาจ้างงาน มีใจความว่า ภายในระยะเวลา 36 เดือน หลังจากสัญญาจ้างสิ้นสุดลงหรือลูกจ้างพ้นสภาพการเป็นพนักงานไม่ว่าด้วยสาเหตุใด ๆ ลูกจ้างจะไม่นำข้อมูลการผลิต การค้นคว้าวิจัย การทดสอบผลิตภัณฑ์ การจัดจำหน่ายหรือความลับทางการค้าใด ๆ ที่ลูกจ้างล่วงรู้ไปใช้หรือเปิดเผย หรือเข้าร่วมหรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นการแข่งขันกับกิจการนายจ้างหรือบริษัทในเครือ และสัญญาข้อ 12 มีใจความว่า ภายในระยะเวลา 12 เดือน หลังจากสัญญาจ้างสิ้นสุดลงหรือลูกจ้างพ้นสภาพการเป็นพนักงาน ลูกจ้างจะไม่ประกอบกิจการ หรือเข้าร่วมกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดอันอาจเป็นการแข่งขัน หรืออาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างและบริษัทในเครือ เห็นว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่รักษาสิทธิและประโยชน์ของคู่กรณีในการประกอบธุรกิจโดยชอบ ไม่เป็นการห้ามจำเลยที่ 1 ไม่ให้กระทำโดยเด็ดขาดจนไม่อาจดำรงอยู่ได้และเป็นการห้ามเฉพาะสิ่งที่เป็นการแข่งขันกับงานของโจทก์ และเฉพาะส่วนของงานที่จำเลยที่ 1 เคยทำกับโจทก์ ลักษณะของข้อสัญญาที่ก่อให้เกิดหนี้ในการงดเว้นการกระทำตามที่กำหนดโดยเจตนาของคู่กรณีเช่นนี้ ไม่เป็นการตัดการประกอบอาชีพของจำเลยที่ 1 ทั้งหมดเสียทีเดียว เพียงแต่เป็นการห้ามประกอบอาชีพบางอย่างบางพื้นที่ที่เป็นการแข่งขันกับโจทก์ในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ และไม่เป็นข้อตกลงที่จำกัดสิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพการงานที่ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องรับภาระมากกว่าที่จะพึงคาดหมายได้ตามปกติอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษกำหนดค่าเสียหายที่ต่ำกว่าศาลแรงงานภาค 3 นั้น เห็นว่า เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการกำหนดค่าเสียหายของศาลแรงงานภาค 3 อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.
(สัญชัย ลิ่มไพบูลย์ - นำ กรุยรุ่งโรจน์ - โกสินทร์ ฤทธิรงค์)
พรรณทิพย์ วัฒนกิจการ - ย่อ
สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ - ตรวจ