คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 304/2560 นายดาวสิงห์ แก้วสอน โจทก์
บริษัท ฟาร์สตรองรัน จำกัด จำเลย
ป.วิ.พ. มาตรา 207
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31, 37, 40, 41
หากศาลแรงงานมีคำสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากโจทก์ไม่มาศาลตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง หรือมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดตามมาตรา 40 วรรคสอง โจทก์หรือจำเลยจึงจะมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเพื่อให้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนั้นใหม่ได้ตามมาตรา 41
ในวันนัดพิจารณา โจทก์และจำเลยมาศาล ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วนัดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 โดยให้จำเลยเป็นฝ่ายนำพยานเข้าสืบก่อน เสร็จแล้วจะสืบพยานโจทก์ต่อไปทันที เมื่อถึงวันนัดดังกล่าวโจทก์ไม่มาศาล ศาลแรงงานกลางสืบพยานจำเลยเสร็จแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบและนัดฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน กระบวนพิจารณาในวันนัดสืบพยานดังกล่าวมิใช่กระบวนพิจารณาตามมาตรา 40, 41 และมิใช่การพิจารณาโดยขาดนัด อันจะเป็นเหตุให้คู่ความร้องขอให้มีการพิจารณาคดีใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 207 ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 เพราะศาลแรงงานกลางมิได้มีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีในประเด็นข้อพิพาท แต่เป็นกรณีที่ศาลได้พิพากษาชี้ขาดไปตามรูปเรื่องที่ปรากฏในคำฟ้อง คำให้การ และพยานจำเลย ดังนี้โจทก์จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้
______________________________
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินประกันการทำงาน 98,680 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าคำสั่งศาลแรงงานกลางที่ให้ยกคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า คำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ของโจทก์ได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งแล้วและหากศาลแรงงานกลางพิจารณาใหม่ตนอาจเป็นฝ่ายชนะคดี เพราะจำเลยหักรายได้ของโจทก์ไว้เป็นเงินประกันตามที่โจทก์ฟ้องจริงและเพียงแต่ปฏิเสธอ้างในคำให้การว่าระหว่างทำงานโจทก์กระทำให้จำเลยได้รับความเสียหายโดยไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายดังกล่าวมาด้วยศาลแรงงานกลางควรฟังว่าจำเลยมีหน้าที่ต้องคืนเงินประกันการทำงานให้แก่โจทก์ แต่ศาลแรงงานกลางกลับฟังพยานจำเลยว่าจำเลยมีสิทธิหักเงินประกันชำระค่าเสียหายที่โจทก์ได้กระทำระหว่างทำงานได้ จึงไม่มีหน้าที่ต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ซึ่งไม่น่าจะชอบด้วยเหตุผลและที่โจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดเวลานัดสืบพยานจำเลยช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 9 นาฬิกา ถึง 12 นาฬิกานั้น เพราะคดีโจทก์นัดสืบพยานช่วงบ่ายตั้งแต่เวลา 13 นาฬิกา ถึง 16.30 นาฬิกา โจทก์จึงเข้าใจว่ากำหนดเวลานัดช่วงเช้าเป็นเรื่องระหว่างศาลกับจำเลยไม่เกี่ยวกับโจทก์โจทก์คงมีหน้าที่มาศาลเมื่อถึงกำหนดเวลานัดสืบพยานโจทก์เท่านั้นแต่ศาลแรงงานกลางกลับมีคำสั่งว่าให้สืบพยานโจทก์ต่อหลังจากที่สืบพยานจำเลยเสร็จแล้วทันทีเมื่อโจทก์ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบและนัดฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน จึงเป็นการตัดสิทธิในการดำเนินคดีของโจทก์ซึ่งกระทบต่อความเป็นธรรมที่โจทก์ควรได้รับ เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อโจทก์ได้ทราบคำสั่งให้มาศาลตามมาตรา 37 แล้วไม่มาตามกำหนดโดยไม่แจ้งให้ศาลแรงงานทราบเหตุที่ไม่มาให้ถือว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ให้ศาลแรงงานมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความวรรคสอง บัญญัติว่า เมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกให้มาศาลตามมาตรา 37 แล้ว ไม่มาตามกำหนดโดยไม่แจ้งให้ศาลแรงงานทราบเหตุที่ไม่มา ให้ศาลแรงงานมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัด และพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว และวรรคสามบัญญัติว่า ในกรณีที่โจทก์หรือจำเลยได้แจ้งให้ศาลแรงงานทราบเหตุแล้วและศาลแรงงานเห็นเป็นการสมควร ก็ให้กำหนดวันเวลานัดใหม่เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมาศาล อันเป็นบทบัญญัติให้โจทก์และจำเลยมาศาลตามกำหนดเวลานัดที่สืบเนื่องมาจากบทบัญญัติมาตรา 37 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า เมื่อศาลแรงงานสั่งรับคดีไว้พิจารณาแล้ว ให้ศาลแรงงานกำหนดวันเวลาในการพิจารณาคดีโดยเร็ว และออกหมายเรียกจำเลยให้มาศาลตามกำหนด ในหมายนั้นให้จดแจ้งรายการแห่งข้อหาและคำขอบังคับให้จำเลยทราบ และให้ศาลแรงงานสั่งให้โจทก์มาศาลในวันเวลาเดียวกันนั้นด้วยและหากศาลแรงงานมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะโจทก์ไม่มาศาลตามมาตรา 40 วรรคหนึ่ง หรือมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดตามมาตรา 40 วรรคสองแล้ว โจทก์หรือจำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเพื่อให้มีการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนั้นใหม่ต่อไปได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 41 แต่คดีนี้ได้ความว่าในวันนัดพิจารณาวันที่ 16 ธันวาคม 2558 อันเป็นวันนัดพิจารณาตามมาตรา 40 วรรคหนึ่ง โจทก์และจำเลยมาศาล ศาลแรงงานกลางได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วนัดสืบพยานโจทก์และสืบพยานจำเลยในวันเดียวกันคือวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ทั้งเช้าและบ่ายโดยให้จำเลยเป็นฝ่ายนำพยานเข้าสืบก่อนเสร็จแล้วจะทำการสืบพยานโจทก์ต่อไปทันที เมื่อถึงวันนัดดังกล่าวโจทก์ไม่มาศาลศาลแรงงานกลางได้สืบพยานจำเลยจนแล้วเสร็จและมีคำสั่งว่าโจทก์ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง จึงถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ และได้นัดฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน แล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าระหว่างทำงานโจทก์ทำให้รถเครนของจำเลยได้รับความเสียหายและได้ทำบันทึกชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยไว้เป็นค่าซ่อมรถเครน 242,479 บาท ซึ่งเกินกว่าเงินประกันที่หักไว้จากรายได้ของโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องคืนเงินประกันให้แก่โจทก์ ซึ่งกระบวนการพิจารณาดังกล่าวในวันนัดสืบพยานที่ศาลแรงงานกลางดำเนินมานั้นมิใช่กระบวนพิจารณาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 40, 41 และมิใช่เป็นการพิจารณาโดยขาดนัดอันจะเป็นเหตุให้คู่ความร้องขอให้มีการพิจารณาคดีใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 31 เพราะศาลแรงงานกลางมิได้มีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและมีคำพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีในประเด็นข้อพิพาท แต่เป็นกรณีที่ศาลได้พิพากษาชี้ขาดไปตามรูปเรื่องที่ปรากฏในคำฟ้อง คำให้การ และพยานจำเลย ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอพิจารณาใหม่ของโจทก์นั้นชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.
(วิชชุพล สุขสวัสดิ์ - สุจินต์ เชี่ยวชาญศิลป์ - เกื้อ วุฒิปวัฒน์)
สุรพัศ เพ็ชรคง - ย่อ
สุโรจน์ จันทรพิทักษ์ - ตรวจ