Print
Category: 2564
Hits: 1663

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 1992/2564 บริษัทวอลเล็ม ชิปปิ้ง (ฮ่องกง) จำกัด โจทก์

                                                                      บริษัทเอ็มเอ็ม เฟรท ฟอร์เวิร์ดดิ้ง

                                                                      จำกัด                                   จำเลย

 

การค้าระหว่างประเทศ การให้บริการระหว่างประเทศ

         แม้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ลงวันที่ วันที่ ๓, ๖ และ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ มีข้อความแสดงว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามใบเพิ่ม แต่เมื่อหนี้ค้างชำระค่าบริการด้านการตลาดระหว่างเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๗ และหนี้ค้างชำระเงินทดรองจ่ายที่โจทก์ออกไประหว่างเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๐ มีอายุความ ๒ ปี ให้เริ่มนับแต่ขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ คดีจึงเป็นอันขาดอายุความ สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงไม่อาจรับสภาพหนี้ตามไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เอกสารหมาย จ.๑๓ ได้ อย่างไรก็ดี สามารถรับฟังไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวเป็นหนังสือรับสภาพความผิดของจำเลยต่อโจทก์ เมื่อนับตั้งแต่วันที่จำเลยรับสภาพความผิดเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ จนถึงวันฟ้อง
ยังไม่พ้นกำหนด ๒ ปี การรับสภาพความผิดจึงยังไม่ขาดอายุความ  

______________________________

         โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๑๓,๔๖๘,๗๖๓.๐๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๑,๗๒๒,๔๔๐.๕๘ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๒)
เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

         จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง

         ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

         โจทก์อุทธรณ์

         ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์รับฟังได้ว่า เดิมจำเลยใช้ชื่อว่า บริษัทดับเบิ้ลยูแอล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งโจทก์และจำเลยเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มวอลเล็ม จำเลยมี บริษัทวอลเล็ม
โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แต่ผู้เดียว ๓๙๙,๙๙๗ หุ้น จากทั้งหมด ๔๐๐,๐๐๐ หุ้น และโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นใน บริษัทวอลเล็ม โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ๑ หุ้น ตามสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๐ บริษัทวอลเล็ม โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ขายหุ้นในบริษัทของจำเลยให้แก่ บริษัททีมเอ โฮลดิ้ง จำกัด ตามสัญญาซื้อขายกิจการ (Purchase Agreement)
และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ต่อมาเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จำเลยจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อไปเป็น บริษัทเอ็มเอ็ม เฟรท ฟอร์เวิร์ดดิ้ง จำกัด ตามหนังสือรับรอง

         มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดสำหรับหนี้ค้างชำระค่าบริการด้านการตลาดและเงินทดรองจ่ายที่โจทก์ออกไปหรือไม่ เห็นว่า เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง จึงต้องห้ามศาลรับฟังพยานบุคคลประกอบข้ออ้างว่า ยังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก แต่กรณีตามสัญญาดังกล่าวจัดเป็นสัญญาจ้างทำของ กฎหมายมิได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งโจทก์ได้นำสืบพยานบุคคลแสดงถึงที่มาแห่งหนี้ตามสัญญานี้ ประกอบรายการพิสูจน์ยอดบัญชีระหว่างกัน ในรายการที่ ๘๑ ถึง ๘๘
ที่ระบุว่าจำเลยได้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่บางส่วนแก่โจทก์ และใบเพิ่มหนี้แล้ว แม้นายโยฮันจะมิได้มีชื่อ
เป็นกรรมการจำเลยในช่วงเวลาดังกล่าว โดยปรากฏว่ามีชื่อ นางวันทนีย์ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยแต่ผู้เดียว ตามหนังสือรับรองก็ตาม พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า กรณีเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงซึ่งจำเลยค้างชำระค่าบริการด้านการตลาดแก่โจทก์ ช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๗ รวม ๑,๖๖๙,๔๑๖.๔๐ ดอลลาร์ฮ่องกง ดังกล่าว ส่วนหนี้ค้างชำระเงินทดรองจ่าย
ที่โจทก์ออกไป คู่ความยอมรับแล้วว่า เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๐ บริษัทวอลเล็ม โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด (Wallem Holdings (Thailand) Limited, the Vender) ทำสัญญาเป็นผู้ขายหุ้นของตนทั้งหมดให้แก่บริษัททีมเอ โฮลดิ้ง จำกัด (TeamA Holding Company Limited, the Purchaser) ซึ่งเป็นผู้ซื้อ และบริษัทวอลเล็ม (ประเทศไทย) จำกัด (WL (Thailand) Limited, the Company) ซึ่งเป็นชื่อเดิมของจำเลยในขณะนั้น ตามสัญญาซื้อขายกิจการ แต่คู่ความพิพาทกันในสัญญาข้อ ๗ เอ มีใจความว่า บริษัททีมเอ โฮลดิ้ง จำกัด จะจัดการให้จำเลยชำระบรรดาหนี้ค้างชำระต่อบริษัทในกลุ่มวอลเล็มภายใน ๓๐ วัน หลังจากวันที่การซื้อขายหุ้นเสร็จสิ้น แต่ไม่รวมถึงบรรดาหนี้ระหว่างผู้ขายกับบริษัทวอลเล็ม
ชิปปิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (The Purchaser shall arrange for all balances owed by the Company to Wallem Group companies, excluding those to the Vender and Wallem Shipping (Thailand) Limited, to be fully settled within thirty (๓๐) days after the Completion Date.) จำเลยนำสืบนายศรัทธา ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยตั้งแต่วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ จนถึงปัจจุบัน ตามหนังสือรับรอง และเป็นประธานฝ่ายบริหารด้านบัญชีและการเงินของจำเลย
กับนางสาวนาตยา นักบัญชี ได้ประเมินตัวเลขทางบัญชีที่ นางสาวศิญารัตน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบัญชี
ของจำเลยขณะนั้นส่งมาให้เป็นข้อมูลสรุปยอดทรัพย์สินและหนี้สิน เพื่อนำมาคำนวณหาเงินทุนหมุนเวียนสุทธิ ซึ่งจะนำไปใช้ในการประเมินราคาซื้อขายหุ้น ตามสัญญาซื้อขายกิจการ และจำเลยนำสืบปฏิเสธว่า ไม่เคยมีภาระหนี้ตามสัญญา โจทก์มีหลักฐานเพียงใบเพิ่มหนี้ ซึ่งโจทก์จัดทำเองฝ่ายเดียว
ไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีพยานหลักฐานอ้างอิง โจทก์ไม่สุจริต และไม่ผูกพันจำเลยให้ต้องรับผิด เห็นว่า
ตามใบเพิ่มหนี้ที่โจทก์นำสืบรวม ๔๑๔ แผ่น แสดงให้เห็นว่า ก่อนที่จะมีการซื้อขายหุ้นกัน จำเลยมีหนี้ค้างชำระเงินทดรองจ่ายที่โจทก์ออกไปแทนจำเลย (ยอดหนี้ฉบับสุดท้าย ณ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๐) ๑,๔๑๕,๑๗๐.๙๖ ดอลลาร์ฮ่องกง ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการตลาดของจำเลยที่ธนาคารเรียกเก็บจากโจทก์ หรือที่บริษัทคาร์โก ไวส์ (ฮ่องกง) จำกัด และบริษัทไวส์ เทค จำกัด เรียกเก็บจากจำเลยในนามโจทก์
ดัง invoice/statement ซึ่งระบุเลขที่ วันเดือนปี และจำนวนเงิน สำหรับการใช้บริการข้อมูล
ในส่วนของจำเลย รวมถึงค่าที่พักและค่าตั๋วเครื่องบินของนายโยฮัน กรรมการบริษัทของจำเลย
ณ เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ค่าเบี้ยประกันสุขภาพแบบกลุ่ม และค่าบริการส่งเอกสาร เป็นต้น ประกอบรายการพิสูจน์ยอดบัญชีระหว่างกัน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา
มีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า กรณีเป็นหนี้ที่มีอยู่จริง ซึ่งจำเลยค้างชำระเงินทดรองจ่ายที่โจทก์ออกไป
ช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๐ เป็นเงิน ๑,๔๑๕,๑๗๐.๙๖ ดอลลาร์ฮ่องกง ดังกล่าว แต่จำเลยจะต้องรับผิดในหนี้ค้างชำระค่าบริการด้านการตลาดและเงินทดรองจ่ายที่โจทก์ออกไปดังกล่าวแล้วหรือไม่ เห็นว่า ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ลงวันที่ วันที่ ๓, ๖ และ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ ที่นางสาวศิญารัตน์โต้ตอบกับโจทก์ มีข้อความแสดงว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามใบเพิ่มหนี้
จากการตรวจสอบทางบัญชีด้วยวิธีกระทบยอดหนี้ (reconciliation) โดยนางสาวศิญารัตน์
ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบัญชี ซึ่งมีนางวันทนีย์เป็นกรรมการจำเลย ระหว่างวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ตามหนังสือรับรอง และนางวันทนีย์ยังเป็นผู้จัดการด้านการเงินของจำเลยอยู่
มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบกำกับงานประจำด้านนี้ร่วมกับนางสาวศิญารัตน์ แม้นางสาวศิญารัตน์จะมิได้
เป็นกรรมการของจำเลย แต่เป็นงานประจำในความรับผิดชอบมีหน้าที่โดยตรงต่อจำเลย และมิใช่กิจการในขอบวัตถุประสงค์ที่ต้องใช้กรรมการจำเลยเป็นผู้ลงนาม เมื่อหนี้ค้างชำระค่าบริการด้านการตลาดระหว่างเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๗ และหนี้ค้างชำระเงินทดรองจ่ายที่โจทก์ออกไประหว่างเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๐ มีอายุความ ๒ ปี ให้เริ่มนับแต่
ขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๒
คดีเป็นอันขาดอายุความ สิทธิเรียกร้องโจทก์จึงไม่อาจรับสภาพหนี้ตามไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ได้
แต่สามารถรับฟังไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวเป็นหลักฐานเป็นหนังสือรับสภาพความผิดของจำเลย
ต่อโจทก์ เมื่อนับตั้งแต่วันที่จำเลยรับสภาพความผิดเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ จนถึงวันฟ้องยังไม่พ้นกำหนด ๒ ปี การรับสภาพความผิดจึงยังไม่ขาดอายุความ ทั้งนี้ นายศรัทธา กรรมการและประธาน
ฝ่ายบริหารการเงินของจำเลยได้ให้นางสาวนาตยา นักบัญชีของจำเลยเข้าไปรับมอบงานและตรวจสอบข้อมูลทางบัญชีกับนางสาวศิญารัตน์ และได้ประเมินข้อมูลสรุปยอดทรัพย์สินและหนี้สินก่อนทำการ
ซื้อขายหุ้น ตามสัญญาซื้อขายกิจการ โดยจำเลยก็มิได้นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างให้เห็นว่าหนี้ข้างต้น ไม่ถูกต้องอย่างไร หรือที่ถูกต้องควรเป็นเท่าใด ซึ่งจำเลยอาจตรวจสอบหลักฐานทางบัญชีที่ใช้ประกอบการทำงบการเงินของจำเลยได้อยู่แล้ว แต่กลับนำสืบอ้างว่านางสาวศิญารัตน์ยืนยันยอดหนี้
ที่โจทก์ฟ้องไปโดยมิได้รับการอนุมัติการจ่ายเงินจากนายศรัทธากรรมการและประธานฝ่ายบริหารการเงินของจำเลย และหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องขาดอายุความโจทก์ไม่อาจเรียกร้องเอาจากจำเลยหรือจำเลยไม่ได้รับสภาพหนี้ไว้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพความผิดต่อโจทก์ ตามไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ค่าบริการ
ด้านการตลาด ๑,๖๖๙,๔๑๖.๔๐ ดอลลาร์ฮ่องกง ระหว่างเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๗ และหนี้เงินทดรองจ่ายที่โจทก์ออกไป ๑,๔๑๕,๑๗๐.๙๖ ดอลลาร์ฮ่องกง ระหว่างเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖
ถึงเดือนกันยายน ๒๕๖๐ ที่ค้างชำระรวมเป็นเงิน ๓,๐๘๔,๕๘๗.๓๖ ดอลลาร์ฮ่องกง ตามใบเพิ่มหนี้
หักด้วยยอดหนี้ที่จำเลยชำระแล้วบางส่วนให้แก่โจทก์ ตามรายการพิสูจน์ยอดบัญชีระหว่างกันรายการที่ ๘๑ ถึง ๘๘ จำนวน ๑๑๒,๕๙๒.๑๘ ดอลลาร์ฮ่องกง คงเหลือหนี้ค้างชำระที่จำเลยต้องรับผิดชำระแก่โจทก์ ๒,๙๗๑,๙๙๕.๑๘ ดอลลาร์ฮ่องกง อันเป็นบรรดาหนี้ค้างชำระต่อโจทก์บริษัทในกลุ่มวอลเล็ม ตามสัญญาซื้อขายกิจการ ข้อ ๗ เอ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น

         อนึ่ง ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ มีการประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๖๔ ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๔ โดยพระราชกำหนดดังกล่าวได้แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗ และมาตรา ๒๒๔ เป็นผลให้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี เป็นอัตราที่กำหนดตามมาตรา ๗
บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ ๒ ต่อปี ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามพระราชกำหนดดังกล่าว ซึ่งการกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย
ของประชาชน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษเห็นสมควรวินิจฉัยได้เองแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์
ในประเด็นนี้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
และวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๙ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๖ และมาตรา ๑๔๒ (๕)

         พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน ๒,๙๗๑,๙๙๕.๑๘ ดอลลาร์ฮ่องกง พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไปจนถึงวันที่
๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ และพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ให้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๗ วรรคสอง
แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว และดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องต้องไม่เกิน ๑,๗๔๖,๓๒๒.๔๘ บาท ตามที่โจทก์ขอ หากจำเลยชำระเป็นเงินไทยให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงิน
ณ สถานที่และในเวลาที่ใช้เงินโดยอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวต้องไม่เกิน ๓.๙๔๔๓ บาท ต่อ ๑ ดอลลาร์ฮ่องกง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองชั้นศาลให้เป็นพับ.

(ปรานี  เสฐจินตนิน – ตุล  เมฆยงค์ – สุรพล  คงลาภ)

 

สุธรรม สุธัมนาถพงษ์ - ย่อ

นิภา  ชัยเจริญ - ตรวจ