คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ 408/2564
บริษัทเซ็นจูรี่ ๒๑ (ประเทศไทย) จำกัด โจทก์
บริษัทเซ็นจูรี่ ๒๑ อิเดนเรียลตี้ จำกัด กับพวก จำเลย
ป.พ.พ. มาตรา 422, 1250, 1253 (1) (2), 1264, 1267, 1271
ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5), 246
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สิน
ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓9 มาตรา 39
ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๕๐ ผู้ชำระบัญชีมีหน้าที่ชำระสะสางการงานของบริษัทให้เสร็จไป
กับจัดการใช้หนี้เงินและแจกจำหน่ายสินทรัพย์ของบริษัทนั้น นอกจากนี้ ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๕๓
ระบุว่า ภายในสิบสี่วันนับแต่ได้เลิกบริษัท ผู้ชำระบัญชีต้อง (๑) บอกกล่าวแก่ประชาชนโดยประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวว่าบริษัทนั้นได้เลิกกันแล้วและให้ผู้เป็นเจ้าหนี้ทั้งหลายยื่นคำทวงหนี้แก่ผู้ชำระบัญชี กับ (๒) ส่งคำบอกกล่าวอย่างเดียวกันเป็นจดหมายลงทะเบียนไปรษณีย์ไปยังเจ้าหนี้ทั้งหลายทุก ๆ คน บรรดามีชื่อปรากฏในสมุดบัญชี หรือเอกสารของบริษัทนั้น หากจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นทั้งกรรมการ ผู้ชำระบัญชี และผู้ร่วมกันจดทะเบียนเลิกจำเลยที่ ๑ ได้กระทำหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ย่อมจะต้องรู้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ค่าธรรมเนียมรายเดือน
และค่าการตลาดรายเดือนที่ค้างชำระแก่โจทก์ การที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มิได้จัดทำบัญชีงบดุล
แสดงความเป็นเจ้าหนี้ของโจทก์ต่อจำเลยที่ ๑ และมิได้จดลงในสมุดบัญชีหนี้สินของจำเลยที่ ๑
ทั้งมิได้ส่งหนังสือบอกกล่าวแจ้งให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้และบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายของจำเลยที่ ๑ ทราบว่า จำเลยที่ ๑ ได้เลิกบริษัทกันแล้ว กับมิได้จัดการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ เป็นกรณีจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ รู้อยู่ว่า จำเลยที่ ๑ มีโจทก์เป็นเจ้าหนี้อยู่ แต่ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์เจ้าหนี้ หรือไม่วางเงินแทนการชำระหนี้แก่โจทก์ ย่อมถือว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๓
ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ อันไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๕๐, มาตรา ๑๒๕๓ (๑) (๒), มาตรา ๑๒๖๔, มาตรา ๑๒๖๗ และมาตรา ๑๒๗๑ เป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๒ และต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระเงิน ๕๑๓,๗๖๐.๕๐ บาท อันเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดให้จำเลยที่ ๑
รับผิดชดใช้ค่าทนายความ ๔๐,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ๑๐,๐๐๐ บาท จึงเกินไปกว่าอัตราขั้นสูงที่กำหนดไว้ในตาราง ๖ และตาราง ๗ ท้าย ป.วิ.พ. ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมาย
อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
และกำหนดค่าฤชาธรรมเนียมใหม่ให้ถูกต้องได้ ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญา
และการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๙ ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๖ และมาตรา ๑๔๒ (๕)
______________________________
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้มีคำสั่งว่า การชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ ยังไม่ถึงที่สุด
แห่งการชำระบัญชี ให้จำเลยที่ ๑ ยังคงมีสถานะเป็นนิติบุคคลอยู่จนกว่าการชำระบัญชีจะเสร็จสิ้น
โดยชอบด้วยกฎหมาย และให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน ๕๑๓,๗๖๐.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของเงินต้น ๔๒๓,๗๒๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่า
จะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ กับที่ ๒ ให้การและแก้ไขคำให้การ ส่วนจำเลยที่ ๓ ให้การในทำนองเดียวกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๕๑๓,๗๖๐.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของเงินต้น ๔๒๓,๗๒๐ บาท นับจากวันฟ้อง (วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความ ๔๐,๐๐๐ บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ๑๐,๐๐๐ บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นอุทธรณ์รับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในฐานะกรรมการ
ผู้มีอำนาจและในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกันจดทะเบียนเลิกบริษัทซึ่งนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ และได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเมื่อวันที่
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มิได้จัดทำบัญชีงบดุลแสดงความเป็นเจ้าหนี้ของโจทก์
ต่อจำเลยที่ ๑ และมิได้จดลงในสมุดบัญชีหนี้สินของจำเลยที่ ๑ ทั้งมิได้ส่งหนังสือบอกกล่าวแจ้งให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้และบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายของจำเลยที่ ๑ เพื่อทราบว่า จำเลยที่ ๑ ได้เลิกบริษัทกันแล้ว
กับมิได้จัดการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามคำฟ้อง นอกจากนี้ กรณีความรับผิดของจำเลยที่ ๑
เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ได้ปฏิบัติหน้าที่
ตามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้าตามคำฟ้องแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมตามที่ตกลงแก่โจทก์ และพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๔๒๓,๗๒๐ บาท
พร้อมดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๙ ตามที่โจทก์
มีคำขอแล้ว ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงเป็นอันยุติ
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในประการแรกว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๓
ต้องร่วมกันรับผิดในมูลละเมิดต่อโจทก์ตามคำฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๕๐ ผู้ชำระบัญชีมีหน้าที่ชำระสะสางการงานของบริษัทให้เสร็จไป กับจัดการ
ใช้หนี้เงินและแจกจำหน่ายสินทรัพย์ของบริษัทนั้น นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๕๓ ระบุว่า ภายในสิบสี่วันนับแต่ได้เลิกบริษัท ผู้ชำระบัญชีต้อง (๑) บอกกล่าวแก่ประชาชนโดยประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวว่าบริษัทนั้นได้เลิกกันแล้วและให้ผู้เป็นเจ้าหนี้ทั้งหลายยื่นคำทวงหนี้แก่ผู้ชำระบัญชี กับ (๒) ส่งคำบอกกล่าวอย่างเดียวกันเป็นจดหมายลงทะเบียนไปรษณีย์ไปยังเจ้าหนี้ทั้งหลายทุก ๆ คน บรรดามีชื่อปรากฏในสมุดบัญชี หรือเอกสาร
ของบริษัทนั้น การที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ได้ร่วมกันจดทะเบียนเลิกจำเลยที่ ๑ ซึ่งนายทะเบียนได้รับ
จดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ และได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้วเมื่อวันที่
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ตามเอกสารหมาย จ.๗ โดยจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นทั้งกรรมการและผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ ย่อมมีหน้าที่เอื้อเฟื้อสอดส่องในการประกอบกิจการของจำเลยที่ ๑ ซึ่งหากจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ได้กระทำหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ย่อมจะต้องรู้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ค่าธรรมเนียมรายเดือน
และค่าการตลาดรายเดือนที่ค้างชำระแก่โจทก์ การที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มิได้จัดทำบัญชีงบดุล
แสดงความเป็นเจ้าหนี้ของโจทก์ต่อจำเลยที่ ๑ และมิได้จดลงในสมุดบัญชีหนี้สินของจำเลยที่ ๑ ทั้งมิได้ส่งหนังสือบอกกล่าวแจ้งให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้และบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายของจำเลยที่ ๑ ทราบว่า
จำเลยที่ ๑ ได้เลิกบริษัทกันแล้ว กับมิได้จัดการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องนั้น
เป็นกรณีจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ รู้อยู่ว่า จำเลยที่ ๑ มีโจทก์เป็นเจ้าหนี้อยู่ แต่ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์เจ้าหนี้ หรือไม่วางเงินแทนการชำระหนี้แก่โจทก์ ย่อมถือว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๓
ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ อันไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา ๑๒๕๐ มาตรา ๑๒๕๓ (๑) (๒) มาตรา ๑๒๖๔ มาตรา ๑๒๖๗ และมาตรา ๑๒๗๑
เป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๒ และต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัว เช่นนี้ การที่
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓
ที่มิได้จัดทำบัญชีงบดุลแสดงความเป็นเจ้าหนี้ของโจทก์และบันทึกในสมุดบัญชีหนี้สินของจำเลยที่ ๑
คงเป็นเพียงการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยมิชอบ แต่มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงไม่ถือเป็น
การกระทำละเมิดต่อโจทก์ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มานั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ในประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๓
ต้องร่วมกันรับผิดในมูลละเมิดต่อโจทก์เพียงใด ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ โดยยังมิได้วินิจฉัยประเด็นปัญหานี้ แต่เมื่อปรากฏว่าคู่ความได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบจนเสร็จสิ้นกระแสความเพียงพอที่จะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าว
เพื่อมิให้เป็นการล่าช้า ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิจารณาและพิพากษาใหม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์ประสงค์เรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เท่ากับจำนวนหนี้ค่าธรรมเนียมรายเดือนและค่าการตลาดรายเดือนที่จำเลยที่ ๑ คงค้างชำระแก่โจทก์ ซึ่งในทางนำสืบโจทก์มิได้แสดงรายละเอียดของความเสียหายในมูลละเมิดว่ามีอะไรบ้างที่มีจำนวนเท่ากับค่าเสียหาย
ในมูลแห่งสัญญาที่โจทก์อนุญาตให้จำเลยที่ ๑ ใช้สิทธิในเครื่องหมายการค้า ส่วนข้อที่โจทก์กล่าว
ในอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ละเว้นไม่เรียกเก็บเงินค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นเพื่อนำมาชำระหนี้สิน
ของบริษัทจำเลยที่ ๑ ก็ดี งบดุลของจำเลยที่ ๑ รายการหนี้เงินกู้ยืมระยะยาว ๗๘,๐๐๐ บาท
กับรายการหนี้สินไม่หมุนเวียนอื่น ๑๔๙,๓๐๒ บาท รวมหนี้สองรายการ ๒๒๗,๓๐๒ บาท ไม่เป็นความจริงและมีพิรุธหลายประการก็ดี ทั้งสองข้อเป็นเรื่องที่ไม่ปรากฏในคำฟ้องของโจทก์ ย่อมเป็นอุทธรณ์
ในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง
ถือเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามเพราะไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๘ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง แม้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ แต่ก็ไม่ทำให้อุทธรณ์ที่ไม่ชอบดังกล่าวกลายเป็นชอบด้วยกฎหมายไปได้ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงไม่รับวินิจฉัย อย่างไรก็ดี แม้โจทก์จะไม่มีพยานหลักฐานที่แสดงความเสียหายได้แน่ชัด แต่รูปการแห่งคดีที่โจทก์นำสืบมา
ก็นับว่า โจทก์ได้รับความเสียหายแล้ว ซึ่งเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๓๘ แล้ว การกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเพียงละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ ๑ อันไม่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษสมควรกำหนดให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ รับผิดชำระเงินต่อโจทก์ โดยให้
ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ตามที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องมา แต่ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมรับผิดไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษได้มีพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๖๔ ออกใช้บังคับเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยผิดนัด
ซึ่งกระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดในคดีนี้ จึงแก้ไขให้สอดคล้องกับและถูกต้องตามพระราชกำหนดดังกล่าวด้วย นอกจากนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระเงิน ๕๑๓,๗๖๐.๕๐ บาท อันเป็นทุนทรัพย์ในคดีนี้ การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางกำหนดให้จำเลยที่ ๑ รับผิดชดใช้ค่าทนายความ ๔๐,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ๑๐,๐๐๐ บาท
จึงเกินไปกว่าอัตราขั้นสูงที่กำหนดไว้ในตาราง ๖ และตาราง ๗ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ
หยิบยกขึ้นวินิจฉัยและกำหนดค่าฤชาธรรมเนียมใหม่ให้ถูกต้องได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๓๙ ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๖
และมาตรา ๑๔๒ (๕)
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๕๑๓,๗๖๐.๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงิน ๔๒๓,๗๒๐ บาท ดังนี้ (๑) อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒) จนถึงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔ กับ (๒) อัตราร้อยละ ๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๔ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในฐานะผู้ชำระบัญชีร่วมกับจำเลยที่ ๑
รับผิดต่อโจทก์ในวงเงินไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลทรัพย์สิน
ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางแทนโจทก์ กับให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสิ้น ๑๐,๐๐๐ บาท กับค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสิ้น ๓,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง.
(วราคมน์ เลี้ยงพันธุ์ - ธารทิพย์ จงจักรพันธ์ – วิวัฒน์ วงศกิตติรักษ์)
สุธรรม สุธัมนาถพงษ์ - ย่อ
นิภา ชัยเจริญ - ตรวจ
หมายเหตุ คดีถึงที่สุด